เชื่อว่าเพื่อนๆ ส่วนใหญ่มักจัมองผ่านความสำคัญของ Modal Verb หรือกริยาช่วย ดังนั้นวันนี้ Eng Breaking จะแนะนำให้คุณความรู้เรื่องของ Modal Verb อย่างรายละเอียดตั้งแต่ A-Z พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ
A – Modal Verb คืออะไร? พร้อมตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเรียน ภาษาอังกฤ คงเคยได้ยินหรือได้ใช้กลุ่มคำกริยาหลักๆ เช่น (Main Verbs) กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ความรู้เกี่ยวกับกริยาคงเยอะไปนิดหน่อยแต่มันเป็นเรื่องกริยาที่ไม่ค่อยซับซ้อน เข้าใจง่ายและได้แบ่งประเภคมาช้ดเจนอยู่แล้ว
วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันเกี่ยวกับกริยาที่แตกกับกริยาหลักทั่วไป นั้นก็คือ Modal Verbs หรือในภาษาไทยเรียกได้ว่า กริยาช่วยนั้นเอง Modal Verbs บทความนี้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องของ Modal Verbs ที่มีครบเครื่องทุกเรื่องที่ต้องรู้
ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของกริยาช่วยแน่นอนเลยค่ะ
Modal Verbs คือ กริยาช่วย กลุ่มของ Modal Verbs ที่ควรรู้จักคือ shall, should, will, would, can, could, may, might และ must
Modal Verbs มีความพิเศษตรงนี้มีความหมายในตัวมันเอง เพราะโดยปกติแล้วกริยาช่วยจะมีหน้าที่แค่ทำให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ด้านไวยากรณ์แต่จะไม่มีความหมาย
ดูเพิ่ม:
- ตาราง Irregular Verbs ในภาษาอังกฤษที่แม่นยำและครบถ้วนที่สุด
- คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun)
B – หลักการใช้ Modal Verb ที่ต้องจดจำไว้
หลักการใช้ Modal Verb หรือกริยาช่วยที่ Eng Breaking สรูปมาให้เข้าใจง่ายๆ มีสามหลักการดังนี้:
1 – หลัง Modal Verb ทุกตัวต้องตาม Verb infinitive ซึ่งก็คือ Verb ที่เป็นรูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม (ไม่เติม –ing, -ed, ไม่เติม to, หรือ ไม่เติม s/es)
เช่นเมื่ออยากจะบอกว่า เขาสามารถขับรถได้เราจะพูดว่า
- He can drive a car ประโยคนี้ถูกต้องแล้วนะคะ
- แต่ถ้าใครใช้ประโยคว่า He can to drive a car. คือมัน ผิดแน่นอนแล้วค่ะ เพราะในกรณีนี้ไม่จำเป็นที่ต้องใช้คำว่า “to”.
2 – ไม่ว่าจะเป็นประธานตัวไหน เอกพจน์หรือพหูพจน์ คนเดียวหรือสองคน ก็ใช้กับ Modal Verb ได้เลยโดยไม่ต้องเติม s/es ให้ยุ่งยาก (ง่ายซะยิ่งกว่าง่ายอีกค่ะ)
เช่นเมื่อคุณอยากพูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายว่า มีนาควรหยุดสูบบุหรี่
- ประโยคที่ถูกต้องจะเป็น Mina should stop smoking.
- ประโยคที่ใช้ผิดจะเป็น Mina shoulds stop smoking.
ดังนั้นอย่าใช้ผิดนะคะ ถ้าใช้ผิดส่วนนี้คะแนนสอบภาษาอังกฤษของคุณจะไม่ได้สูงแน่นอน และนี่เป็นรูปแบบของข้อสอบที่มักจะเจอบ่อยมากด้วย อย่าพลาดนะคะ
3 – Modal Verb ในกลุ่มนี้สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือคำถามได้เลย
โดยไม่ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do หรือ does เข้ามาช่วยอีกแล้ว เช่น
- ถูก She mustn’t enter here.
- ผิด She doesn’t must enter here.
นอกจากนั้นแล้ว คำกริยาช่วยนั้นประกอบไปด้วย Can, Could, May, Might, Must, Mustn’t, Should, Ought to, Shall และ Will คำกริยาช่วยเหล่านี้มีคุณลักษณะอื่นๆ
เช่น ไม่มีรูปแบบ past tense และในรูปแบบ negative หรือปฏิเสธนั้นสามารถทำได้ด้วยการใส่ NOT เท่านั้น และในรูปแบบประโยคคำถามสามารถทำได้ด้วยการใช้ขึ้นต้นประโยค
ดูเพิ่ม:
- 5 นาที! เข้าใจการใช้ little a little few a few อย่างถูกต้อง
- 1000++ คำตรงข้ามภาษาอังกฤษ A – Z พร้อมคำแปลไทย
C – Modal Verb ต่างจาก verb ปกติอย่างไร?
คุณเคยสงสัยไหมคะว่า Modal Verb ต่างจาก Verb ปกติอย่างไร? สรูปสั้นๆ ดังต่อไปนี้คงจะช่วยคุณเข้าใจและแยกอกความแตกต่างระหว่าง Modal Verbs กับ Verb ปกติอ เพื่อการใช้งานได้ถูกต้องต่อไปนี้
- Modal Verb ไม่ต้องเติม s ไม่ว่าประธานจะเป็นตัวไหน
- สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถามได้เลยโดยไม่ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do, does
- หลัง Modal Verbs ต้องตามด้วย infinitive verbs (Verb รูปธรรมดาที่ไม่เติม -ing, -ed, to, s หรือ es)
D – Modal Verbs ที่ต้องไม่พลาด
กริยาช่วยเป็นส่วนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ผู้เรียนทุกคนต้องไม่พลาด เพราะมันใช้บ่อยในทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เช่น
- มักจะใช้ Modal Verb ในกรณีอยากบอกความเป็นไปได้
- มักจะใช้ Modal Verb ในกรณีอยากแสดงความสุภาพ
1 – Can/Could ที่แปลว่า สามารถ
รูปปฏิเสธของ Can คือ Can not (Can’t)
รูปปฏิเสธของ Could คือ Could not (Couldn’t)
โครงสร้างในประโยค: Can/Could + V.infinitive
เงื่อนไข: เราจะใช้ Modal Verb Can/Could เพื่ออธิบายถึงความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่างๆ หรือการขอร้อง/ขออนุญาต
2 – Will/Would ที่แปลว่า จะ
รูปปฏิเสธของ Will คือ Will not (Won’t)
รูปปฏิเสธของ Would คือ Would not (Wouldn’t)
ครงสร้างในประโยค: Will/Would + V.infinitive
เงื่อนไข: เราจะใช้ Modal Verbs Will/Would ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ตั้งใจไว้ รวมถึงบอกความเป็นไปได้
3 – Shall/Should ที่แปลว่า ควรจะ
รูปปฏิเสธของ Shall คือ Shall not (Shan’t)
รูปปฏิเสธของ Should คือ Should not (Shouldn’t)
โครงสร้างในประโยค: Shall/Should + V.infinitive
เงื่อนไข: ใช้ Modal Verbs Shall/Should เมื่อต้องการให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ หรือบอกถึงเหตุการณ์ในอนาคตว่าน่าจะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน
4 – May/Might ที่แปลว่า อาจจะ
รูปปฏิเสธของ May คือ May not
รูปปฏิเสธของ Might คือ Might not (Mightn’t)
โครงสร้างในประโยค: May/Might + V.infinitive
เงื่อนไข: ใช้ Modal Verbs May/Might บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ (ซึ่ง May จะแสดงความเป็นไปได้ที่มากกว่า Might)
5 – Must ที่แปลว่า ต้อง
โครงสร้างในประโยค: Must + V.infinitive
เงื่อนไข: ใช้มันในประโยคบอกเล่าเพื่ออธิบายถึงข้อบังคับ และในรูปประโยคปฏิเสธเพื่อบอกว่าไม่ควรทำบางสิ่งบางอย่าง
6 – Ought to ที่แปลว่า ควรจะ
โครงสร้างในประโยค: Ought to + V.infinitive
เงื่อนไข: ใช้กับคำแนะนำ หรือใช้กับสิ่งที่ยังไม่มั่นใจแน่ชัด เป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว จะใช้ Should มากกว่า
คุณก็อาจจะสนใจ:
E – การสร้างประโยคโดยการใช้ Modal Verb
ข้อดีของ Modal Verbs คือ พวกมันมีกฎการใช้ง่ายๆ 3 แบบ
- ประโยคบอกเล่า (affirmative sentence) สำหรับประโยคบอกเล่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน Modal verb หรือก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเติม –s แม้ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์บุคคลที่สาม (third person singular)
I You He/ She/ It We They | Will Would Shall Must Should Ought to Can Could May Might | Go Study Wait Leave Listen Read |
- ประโยคปฏิเสธ (negative sentence) เวลาทำเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเติม ‘not’
I You He/ She/ It We You They | Will not/ won’t Would not/ wouldn’t Shall not/ shan’t Must not/ mustn’t Should not/ shouldn’t Ought not/ oughtn’t Cannot/ can’t May not (Might not)/ mightn’t | Go Study Wait Leave Listen Read |
- ประโยคคำถาม (interrogative sentence)
Will Would Shall Must Should Ought to Can Could May Might | I You He/ She/ It We You They | Go? Study? Wait? Leave? Listen? Read? |
F – โครงสร้างประโยคของ Modal Verb (กริยาช่วย)
1 – บอกเล่า ของ Modal Verbs (กริยาช่วย) กริยาช่วย + กริยาแท้
โครงสร้างในประโยค: S + Modal Verb + V_infinity
ตัวอย่างเช่น
- I can help you ฉันจะช่วยคุณได้นะ
- He should go home เขาควรกลับบ้าน
2 – โครงสร้างประโยคปฏิเสธ ของ Modal Verb (กริยาช่วย) กริยาช่วย + not + กริยาแท้
โครงสร้างในประโยค: S + Modal Verb + not + V_infinity
ตัวอย่างเช่น
- I cannot help you ฉันช่วยคุณไม่ได้นะ
- He should not go home เขาไม่ควรกลับบ้าน
3 – โครงสร้างประโยคคำถาม ของ Modal verbs (กริยาช่วย) กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
โครงสร้างในประโยค: Modal Verb + S + V_infinity
ตัวอย่างเช่น
- Can you help me? คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม
- Should I go home? ฉันควรกลับบ้านไหม
ดูเพิ่ม:
- วิธีใช้ Used to – To get used to – To be used to พร้อมแบบฝึกหัด
- Phrasal verb: กริยาวลีคืออะไร และ 150 กริยาวลีที่น่ารู้ที่สุด
G – วิธีใช้กริยาช่วย Modal Verb ที่ต้องรู้
เพื่อเข้าใจและเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเราจะสรูปวิธีใช้กริยาช่วย Modal Verb ที่มักจะเจอบ่อยๆ ในตารางดังต้อไปนี้
Can/Could | > Can บอกความสามารถในปัจจุบัน > Could บอกความสามารถในอดีต – ใช้ถามเพื่อขออนุญาต, ให้การอนุญาตหรือไม่อนุญาต, ร้องขอบางสิ่งบางอย่าง, เสนอการช่วยเหลือ โดย Could มีความสุภาพมากกว่า Can – ช้บอกสิ่งที่เป็นไปได้หรือเกิดขึ้น โดย Could บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มีโครงสร้าง Could + have + past participle (V.3) |
Will/Would | > Will ใช้บอกสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต, บอกความตั้งใจ > Would ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอดีต, ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ, บอกความต้องการ และใช้ในประโยคเงื่อนไข |
Shall/Should | > Shall ใช้ในการเสนอแนะ ชี้แนะ เสนอความช่วยเหลือ > Should แปลว่า ควรจะ… ใช้ในการแนะนำ |
May/Might | > ใช้บอกความเป็นไปได้ หรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น > ใช้ในการให้อนุญาต, ขออนุญาต |
Must | > ใช้พูดถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ |
ตัวอย่างเช่น
1 – Can
- I can swim. ฉันอ่านหนังสือได้ (บ่งบอกความสามารถ)
- He can fix computers. เขาสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ได้
- Can I have a cup of coffee please? ขอกาแฟแก้วหนึ่งได้ไหม (ขอร้องแบบทั่วๆ ไป)
- Can I use this restroom please? ฉันสามารถใช้ห้องน้ำนี้ได้ไหม?
2 – Could
- Could I have a cup of coffee please? ขอกาแฟแก้วหนึ่งได้ไหมคะ/ครับ (ขอร้องแบบสุภาพ)
- Could you fill in these blanks please? รบกวนช่วยกรอกข้อมูลตรงช่องว่างนี้ได้ไหมคะ?
- I could have done it by myself. ฉันสามารถทำมันได้ด้วยตัวฉันเอง
- I could swim when I was young. ตอนสาวๆ ฉันเคยว่ายน้ำได้นะ
3 – Will
- I will not go to school tomorrow. ฉันจะไม่ไปโรงเรียนพรุ่งนี้ (บอกเหตุการณ์ในอนาคตที่ตั้งใจไว้)
- I will visit Japan next year. ฉันจะไปญี่ปุ่นปีหน้า
- We will give you this book. พวกเราจะให้หนังสือเล่มนี้แก่คุณ
4 – Would
- If she didn’t do that, she would be happy. ถ้าเธอไม่ทำแบบนั้นลงไป เธอคงจะมีความสุข (บอกความเป็นไปได้ว่า “คงจะ” มีความสุข)
- I knew that Nid would be successful. ฉันรู้ว่านิดจะประสบความสำเร็จ
- Would you like some milk? คุณต้องการนมไหม?
- Would you like to have some coffee? ต้องการจะรับกาแฟไหมคะ/ครับ
5 – May
- I may join the party tonight ฉันอาจจะไปร่วมปาร์ตี้คืนนี้
- May I come in? ฉันขออนุญาตเข้าไปข้างในได้ไหมคะ?
- May I borrow your phone? ฉันขอยืมโทรศัพท์คุณได้ไหม?
- She may be in danger. เธออาจจะตกอยู่ในอันตราย
6 – Might
- He might have finished it. เขาอาจจะทำมันเสร็จ
- I might go see a doctor. ฉันอาจไปพบแพทย์
- The store might have been closed today. ร้านค้าอาจจะปิดวันนี้ (have been closed เป็น passive หมายถึงถูกปิด)
7 – Shall
- Shall we go to the movie tonight? เราไปดูหนังกันคืนนี้ดีไหม? (ข้อเสนอ)
- We shall pass the exam. พวกเราจะต้องสอบผ่านแน่ๆ (พูดถึงความน่าจะเป็นในอนาคต ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ)
- Shall I carry your bags for you? ฉันถือกระเป๋าให้คุณไหม?
8 – Should
- Should we take a taxi? พวกเราควรจะขึ้นแท็กซี่นะ?
- I think you should stop smoking. ฉันคิดว่าคุณควรเลิกสูบบุหรี่นะ
- You should try that new restaurant. คุณควรลองร้านอาหารใหม่นั้น
9 – Must
- I must finish my work. ฉันต้องทำงานให้เสร็จ
- The show must go on. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
- She must be very intelligent. เธอจะต้องฉลาดมากแน่ๆ
10 – Ought to
- We ought to help the poor. = We should help the poor. เราควรจะช่วยเหลือคนจน
- You ought to try this soup – it’s delicious! คุณควรลองซุปนี้ – อร่อยมาก!
- She ought to make a decision about that house before someone else buys it. เธอควรตัดสินใจเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นก่อนที่คนอื่นจะซื้อ
- We ought to start the meeting, it’s getting late. เราควรจะเริ่มการประชุมมันช้าไปแล้ว
เพิ่มเติม: นอกจาก Modal Verb ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมี Modal Verbs ตัวอื่นที่เราจะเจออีก เช่น
- Ought to + have + V3 แสดงสิ่งที่ควรทำในอดีต แต่ไม่ได้ทำ
- Would rather + have + V3 อยากทำแต่ความจริงไม่ได้กระทำ (อดีต)
- needn’t + have + V3 แสดงสิ่งที่ทำไปแล้วทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำ (อดีต)
- didn’t have to = didn’t need to ไม่จำเป็นต้องกระทำ และก็ไม่ได้กระทำ(ในอดีต)
- needn’t have done ไม่จำเป็นต้องกระทำ แต่ก็ทำไปแล้ว (ในอดีต)
ดูเพิ่ม:
H – ฟังก์ชั่นที่พบบ่อยที่สุดของกริยาช่วย
ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชั่นที่พบบ่อยที่สุดของกริยาช่วย
1 – กริยาช่วยที่แสดงความหมายว่า เป็นไปได้
เราใช้คำกริยา can, must, may เพื่อทำนายความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้น
ความแน่นอนจากมากไปน้อย: ต้องทำได้อาจอาจ
ตัวอย่างเช่น
Learning English can be hard to some. การเรียนภาษาอังกฤษอาจเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน
It’s snowing outside. It must be cold. ข้างนอกมีหิมะตก มันต้องหนาวแน่ ๆ
2 – กริยาช่วยที่แสดง ความสามารถความสามารถทักษะ
เราใช้คำกริยา can and could เพื่อพูดถึงความสามารถ
Can ใช้เมื่อพูดถึงความเป็นไปได้ในปัจจุบันและสามารถใช้เมื่อพูดถึงความเป็นไปได้ในอดีต
ตัวอย่างเช่น
- He can’t speak Korean. เขาพูดภาษาเกาหลีไม่ได้
- My grandfather could swim fast when he was a young boy. ปู่ของฉันสามารถว่ายน้ำได้เร็วเมื่อเขายังเป็นวัยรุ่น
3 – กริยาช่วยที่แสดง ภาระหน้าที่คำแนะนำ
เราใช้คำกริยา must, should to, should เพื่อแสดงความคิดว่าสิ่งที่ควรทำหรือควรทำ
ความจำเป็นจากมากไปน้อย: ต้องควรจะควร
ตัวอย่างเช่น
- Students must do their homework. นักเรียนต้องทำการบ้าน
- You should visit your parents often. คุณควรไปเยี่ยมพ่อแม่บ่อยๆ
4 – กริยาช่วยที่แสดงความอนุญาตและขออนุญาต
เราใช้คำกริยาอาจจะสามารถแสดงการอนุญาตให้ทำบางสิ่งได้
ตัวอย่างเช่น
- You may not eat or drink in the library. ห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มในห้องสมุด
- Could I go home early today? วันนี้ฉันกลับบ้านเร็วได้ไหม
5 – กริยาช่วยที่แสดงความหมายว่า คำขอคำเชิญที่สุภาพ
เราใช้คำกริยา can, could, would, would ในการร้องขอหรือคำเชิญที่สุภาพ
- Could you help me with this? คุณช่วยฉันเรื่องนี้ได้ไหม
- Would you like some coffee? คุณต้องการกาแฟไหม?
6 – กริยาช่วยที่แสดงความหมายว่า สัญญา
เราใช้คำกริยาแสดงความตั้งใจที่จะทำบางสิ่งหรือสัญญาว่าจะทำบางสิ่ง
ตัวอย่างเช่น
- I will stay here with you. ฉันจะอยู่ที่นี่กับคุณ
7 – กริยาช่วยที่แสดง นิสัย
เราใช้คำกริยา will และจะพูดถึงนิสัยในปัจจุบัน (will) หรืออดีต (would).
ตัวอย่างเช่น
- When I was little, I would play outside all day. ตอนเด็ก ๆ ฉันจะเล่นข้างนอกทั้งวัน
- Tim will always be late! ทิมจะมาสายเสมอ!
อย่างที่เห็น Modal verbs เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในภาษาอังกฤษ ตอนนี้คุณคงจะเห็นแล้วว่ามันสามารถใช้ได้อย่างไรบ้าง ลองฝึกเอามาใช้ดูเวลาที่ต้องพูดหรือว่าเขียนการใช้ Modal verbs นั้น อาจจะแบ่งลักษณะการใช้ออกเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้
สรูปให้เข้าใจง่ายดายคือ Modal verbs ใช้แสดงความเป็นไปได้ และแนวโน้มของความเป็นไปได้ ว่าสิ่งที่กล่าวนั้นเป็นไปได้หรือมีความสามารถแค่ไหน เช่น may, might, can, could
และยังใช้ในการให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ เช่น should และ ใช้แสดงความจำเป็น กฎข้อบังค้บ เช่น must และใช้แสดงความสุภาพ มารยาททางสังคมต่างๆ
ช่น การร้องขอ การขออนุญาต เช่น can, could, may, might, shall, will, would นั้นเอง เป็นคำกริยาที่มักจะเจอบ่อยใช่ไหมคะ ดังนั้นเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและคล่องในทุกกรณีคุณจำควรเห็นความสำคัญของกริยาช่วยนะคะ
ว่ายังไงบ้างคะสำคัญบทความ Modal Verbs (กริยาช่วย) ฉบับที่สมบูรณ์แบบครบเครื่องทุกเรื่องที่ต้องรู้วันนี้ที่ Eng Breaking แนะนำมาให้ค่ะ
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต้อคุณ และอย่าลืมเคล็คลับเพื่อช่วยคุณพิชิตเรื่องเรียนภาษาอังกฤษได้คือต้องมีวิธีการเรียนอย่างถูกต้อง เรียบง่าย หาเอกสารเพื่อเรียนเพิ่มเติม แต่ต้องหาที่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
เราเชื่อว่าคุณจะเป็นผู้เรียนต่อไปที่สำเร็จแน่นอน อย่าลืมติดตามเราเพื่ออัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ เกี่ยวกับไวยากณ์ภาษาอังกฤษแชรันความรู้และประสบการณ์ของคุณด้วยนะคะ
ไม่พลาดกับบทความนี้:
- คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun)
- รู้หรือไม่! ประโยคคำถามภาษาอังกฤษ หากอยากสื่อสารได้เก่งก่อนใคร
- การใช้ประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentences) ฉบับอธิบายเข้าใจง่ายๆ กระจ่างสุด
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .