How to เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองกับ Eng Breaking ให้ได้ผลดี

How to เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองกับ Eng Breaking ให้ได้ผลดี

เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง – ใครที่กำลังบ่นและกำลังมีปัญหากับเรื่องไม่มีสมาธิในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเปิดหนังสือตำราเรียนตั้งแต่เช้า หรือว่างตอนไหนก็เปิดขึ้นมาเรียน แต่สุดท้ายการเรียนก็ยังไม่ได้ผล หรือบางคงก็นั่งงงในดงหนังสือตำรา สับสนว่าต้องเรียนอะไรก่อน และเรียนอย่างไร

สำหรับใครที่ประสบภาวะเช่นนี้ เชื่อเถอะว่า คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวในวงการ “เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง” เพราะปัญหาภาวะ “สมาธิสั้น” ที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลนี้ เป็นกันทั่วโลกเลย ที่เต็มไปด้วยคนที่รออะไรไม่ค่อยจะได้

แถมยังไม่มีสามารถจดจ่อกับสิ่งหนึ่งได้นาน ๆ ส่งผลให้วันนี้มนุษย์เราสามารถแซงหน้าแชมป์อันดับหนึ่งเรื่องสมาธิสั้นอย่างปลาทองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้ Eng Breaking จึงต้องมาแนะนำวิธีเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอย่างไรให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับคุณ

สำหรับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองของ Eng Breaking ปกติคุณจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือนเพื่อจะเรียนให้จบ

ถ้าเรียนรู้อย่างต่อเนื่องวันละ 1-2 ชั่วโมง คุณอาจจะต้องใช้เวลาโดยรวมถึง 150-180 ชั่วโมง

แต่หากคุณตั้งสติกับการเรียนรู้ 100% คุณอาจใช้เวลาเพียง 60-80 ชั่วโมง ในการประสบความสำเร็จ จงจำไว้ว่า “คุณภาพสำคัญกว่าจำนวน”

ดูเพิ่มเติมที่: ฝึกภาษาอังกฤษด้วยเทคนิคตอบโต้อย่างรวดเร็วกับ Eng Breaking

โดยในบทความนี้ Eng Breaking จะมาแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ให้กับคุณเพื่อช่วยให้คุณประหยัดเวลาการเรียนรู้ลงแต่ยังได้ผลและมีประสิทธิภาพเพิ่มเป็น 200% ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1 – ขั้นตอนที่ 1:  กำหนดกรอบเวลาที่แน่นอนสำหรับการเรียนรู้ Eng Breaking

โดยปกติแล้วการส่งเสริมตัวเองให้เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเป็นเรื่องยากมากอยู่แล้ว

เมื่อมีสิ่งรบกวนอื่น ๆ คุณจะถูกสิ่งอื่นดึงดูดให้ทำอย่างอื่นอย่างต่อเนื่องและให้เหตุผลโดยบอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ

ถ้าบ่อยครั้งเวลาที่คุณใช้ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจะค่อย ๆ ลดน้อยลง และในอีกไม่ช้าโปรแกรมการฝึกฝนของคุณก็จะมาถึงทางตัน

ผลการสำรวจนักเรียนมากกว่า 67,200 คนที่พิชิต Eng Breaking ได้สำเร็จและนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองของพวกเขา:

  • ตอนเช้าหลังจากตื่นนอน: 6.00 น. – 7.00 น.
  • ช่วงเที่ยงหลังพักรับประทานอาหารกลางวัน: 12.00 น. – 13.00 น.
  • ตอนกลางคืนก่อนนอน: 21.00 น. – 22.00 น.

และผู้เรียนส่วนใหญ่เขาได้วางแผนจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทำอย่างอื่นในเวลานั้นนอกจากตั้งใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

การกำหนดช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงและแน่นอนจะสร้างนิสัยและภาระผูกพัน ทำให้คุณมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งอื่น

ตอนนี้ถึงเวลาของคุณแล้วที่จะต้องจัดตารางเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่เหมาะสมกับตัวคุณเองมากที่สุด

2 – ขั้นตอนที่ 2: กำจัดสิ่งรบกวน – เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

หากโทรศัพท์มือถือทำให้คุณเสียสมาธิได้ง่ายให้ปิดเครื่อง หรือจะดีกว่าถ้าคุณปิดเครื่องและย้ายไปที่ห้องอื่น

หากคุณมักจะฟุ้งซ่านหรือกังวลในตอนท้ายของตอนเช้าและพบว่าการตื่นเช้าเพื่อเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองเป็นเรื่องยากคุณสามารถเปลี่ยนตารางเวลาของคุณได้จนกว่าจะสิ้นสุดวัน – ในช่วงที่คุณไม่ยุ่งหรือเสียสมาธิจากงานอื่น ๆ

หากคุณเสียสมาธิได้ง่ายเพราะเสียงลูกร้องไห้หรือเสียงเพื่อนร่วมห้องคุยโทรศัพท์ 

… คุณสามารถไปที่ห้องอื่นหรือสวมหูฟังเพื่อสร้างพื้นที่เงียบสงบสำหรับตัวคุณเอง

ออกจากระบบ Facebook ของคุณหรือช่องทางสำหรับการแชท … หรือสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวต่าง ๆ

3 – ขั้นตอนที่ 3: ใช้หลักการ Pomodoro 25 นาที

ก่อนอื่นเราจะมาทำความรู้จักเทคนิคการจัดเวลาทำงานชื่อ Pomodoro ให้ได้รู้จักกัน โดย Pomodoro ถูกคิดขึ้นโดยนักธุรกิจชาวอิตาลี มีแนวคิดมาจากหลักการทำงานของสมอง ที่มีสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน

หลักการ Pomodoro: แบ่งเวลาเรียนรู้ทุก 25 นาที

ส่วนชื่อ Pomodoro เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า มะเขือเทศ มาจากรูปทรงนาฬิกาจับเวลาของเขา

4 – วิธีการนำไปใช้ก็ง่ายมาก ๆ คือ

  1. กำหนดบทเรียน หรือเนื้อหาที่คุณต้องการเรียนให้สำเร็จ โดยส่วนนี้ทาง Eng Breaking จัดให้เรียบร้อยแล้วในแผนการเรียนที่ได้ส่งไปให้คุณเลย
  2. ตั้งนาฬิกาจับเวลาไว้ที่ 25 นาที
  3. เรียนภาษาอังกฤษตามแผนจนกว่านาฬิกาจะดัง 
  4. พักประมาณ 5 นาที
  5. ทุก ๆ 4 รอบการเรียนรู้ ให้พักนานขึ้น คือราว ๆ 15-30 นาที

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นช่วงสั้น ๆ ทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้บทเรียนยาก ๆ หรือเนื้อหายาว ๆ ถูกซอยเป็นส่วนที่เล็กลง ช่วยลดการถูกคั่นจังหวะ

และเมื่อใช้วิธีนี้ จะทำให้สมาธิดีขึ้นด้วย แก่นของวิธีนี้คือ การพักบ่อย ๆจะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้คุณดีขึ้น

ดังนั้นไม่ต้องทำตามเวลาเป๊ะ ๆ ก็ได้ เช่น ถ้านาฬิกาดังครบ 25 นาทีแล้ว แต่งานที่คุณกำลังอยู่ในจังหวะไปได้ดี กำลัง Flow คุณก็สามารถทำต่อไปจนเสร็จ แล้วค่อยพักก็ได้

มีคำที่คนมักจะพูดกันเยอะว่า Don’t work hard, work smart หมดยุคของการเรียนรู้อย่างหนัก แบบเน้นถึก เอาแรงเข้าว่าแล้ว เราสามารถเลือกที่จะเรียนรู้อย่างชาญฉลาดได้ และผมว่าวิธีที่ดีที่สุดคือเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่าง ขยันเรียน และการเรียนรู้อย่างชาญฉลาด 

ลองเอาเทคนิค Pomodoro ไปใช้ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษกับ Eng Breaking กันดูนะครับ แล้วคุณจะเป็นคนหนึ่งที่ทั้ง Work hard และ Work smart ในคนเดียวกัน

ด้วย 3 ขั้นตอนในการโฟกัส Eng Breaking เชื่อว่าคุณมีเครื่องมือที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพ Eng Breaking และลดเวลาลงได้ครึ่งหนึ่งเลย

คำถามเดียวคือความมุ่งมั่นของคุณใหญ่พอหรือไม่ ทำตามรายการที่ให้ไว้ด้านล่างและแจ้งให้เราทราบว่าขั้นตอนใดที่คุณพบว่ายากที่สุด และผมจะให้คำแนะนำที่ถูกต้องที่สุดแก่คุณ

งานที่ต้องทำ :

  • เลือกกรอบเวลาเรียนที่แน่นอน
  • กำจัดสิ่งรบกวน
  • ใช้ Pomodoro สำหรับรายการตรวจสอบถัดไป

นอกจากนั้น Eng Breaking ยังอยากจะแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ในบทความนี้ ที่คุณสามารถนำไปใช้ผสมผสานระหว่างการเรียนภาษาอังกฤษกับ Eng Breaking ได้ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับการเรียนรู้ของคุณเอง

5 – การผสมผสานระหว่างการเรียนกับการฝึกทักษะการฟัง

ยิ่งฟังเยอะ ก็จะยิ่งให้หูเกิดความคุ้นชิน เพราะการฟังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะแค่ 1 นาที 5 นาที หรือเป็นชั่วโมง

การฝึกฟังที่ดีที่สุดคือการฟังข่าวภาษาอังกฤษ โดยช่องทางการฟังมีอยู่อย่างหลากหลาย เช่น ดูข่าวผ่านช่องทีวี CNN, BBC หรือช่องอื่น ๆ หรือ ฟังข่าวออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเราสามารถดาวน์โหลด Application เหล่านี้ได้ไม่ยาก

และประเด็นที่สำคัญคือฟังไม่รู้เรื่อง มันรู้สึกหูอื้อไปหมด แล้วอย่างนี้จะเรียนรู้ได้อย่างไร อย่าเพิ่งถอดใจครับ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาหากเราจะฟังไม่เข้าใจ

แม้กระทั่งคนใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับค่อยข้างดีแล้ว บางทีเขายังฟังข่าวไม่ค่อยรู้เรื่องก็มี สิ่งที่จะแนะนำคือพยายามฟังบ่อย ๆ หากมีเวลาพยายามตั้งใจฟังและพยายามจับใจความให้ได้ว่าเขากำลังรายงานข่าวเรื่องอะไรอยู่ พยายามแยกแยะคำศัพท์แต่ละคำออกจากกันให้ได้ถึงแม่จะไม่รู้ความหมายของคำนั้น ๆ ก็ตาม

เพราะถ้าเราฟังเพียงเฉย ๆ ก็จะเหมือนกับเวลาที่ชาวต่างชาติอ่านหนังสือภาษาไทยและไม่รู้ว่าแต่ละคำจบตรงไหน เพราะเขียนติด ๆ กันไปหมด ดังนั้นช่วงเริ่มฟังใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายหรือรู้เรื่องทั้งหมด

เพียงแค่พยายามจับคำหรือใจความของนักข่าวให้ได้ก็พอ แต่ถ้าฟังไม่ได้จริง ๆ อย่าเพิ่งท้อ เพราะการฟังบ่อย ๆ ก็ช่วยให้เราคุ้นชินกับสำเนียง ท่วงทำนอง ระดับสูงต่ำ ของภาษาได้ไปในตัว

ฟังไปนาน ๆ มันจะฝังอยู่ในประสาทการรับรู้ของเราเองและไม่ช้าเราจะจับคำพูดที่เราฟังได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอีกต่อไป ดังนั้นหากมีเวลาว่าง ๆ หรือมีสมาร์ทโฟนก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลด Podcast ข่าวของช่อง CNN หรือ BBC มาไว้ในโทรศัพท์มือถือ

เวลาที่เราขึ้นบีทีเอสหรือรอรถเมย์อยู่ที่ไหน ๆ ก็สามารถหยิบออกมาฟังเพลิน ๆ หรือจะเข้าไปที่ Leaning English ของ Voice of America จาก http://learningenglish.voanews.com โดยในนี้จะมีการรวบรวมข่าวพร้อมคลิปเสียงการบรรยายข่าวนั้น ๆ โดยเขาทำไว้เพื่อให้คนฝึกฟังภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ

ดังนั้นการรายงานข่าวจึงไม่เร็วเกินไปและมีการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำมาก

ต่อมาคือการฝึกฟังจากการดูหนัง หรือซีรีส์ คำแนะนำคือห้ามมี Subtitle หรือถ้าต้องมีจริง ๆ จะต้องเป็น Subtitle ภาษาอังกฤษเท่านั้น ห้ามเป็นภาษาไทยโดยเด็ดขาด เพราะคุณจะไม่ได้อะไรเลยจากการดูหนังในครั้งนั้น

การดูหนังหรือซีรีส์ภาษาอังกฤษจะดีตรงที่ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป แนะนำอย่าเลือกหนังที่เป็นหนังแนวประวัติศาสตร์ย้อนยุค เพราะเราจะไม่เข้าใจภาษา

ถ้าเลือกได้แนะนำหนังการ์ตูนของ Walt Disney ดูเพลิน ๆ น่ารัก ๆ และภาษายังเข้าใจง่าย ส่วนซีรีส์ก็เลือกดูที่แนวที่เราชื่นชอบและถนัด

การฝึกฟังอีกวิธีคือการฟังเพลง เชื่อว่าทุกคนฟังเพลงสากล แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าเพลงที่ฟังอยู่สื่อถึงอะไร หรือเนื้อเพลงแปลว่าอะไร หากฟังแบบนั้นจะเป็นแค่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน การฟังที่ได้เรียนรู้ไปด้วยนั้น

ผมแนะนำให้เปิดหาความหมายของเนื้อร้องประกอบไปด้วย อาจจะฝึกแปลเองหรือเข้าไปหาดูบทแปลจากอินเตอร์เน็ต แต่ระวังนิดนึงเพราะบางเว็บไซนต์ที่แปลเพลงสากลอาจแปลได้ไม่ค่อยตรงความหมายของเพลง หรือแปลความหมายไม่ตรงตามอารมณ์ที่ควรจะเป็นของเพลงนั้น ๆ

ข้อดีของการฟังเพลง คือ เพลง 1 เพลงปกติเราจะไม่ค่อยไม่ฟังแค่รอบเดียวแล้วเลิกฟัง เรามักจะฟังซ้ำ ๆ ทุกวันจึงทำให้เกิดการคุ้นหูและเคยชินกับประโยคในเพลง

หากเรารู้ความหมายจะเป็นการดีที่เราได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และตัวอย่างการใช้ไปในตัว เวลาจำไปใช้ก็เอาไปทั้งประโยคได้เลย

6 – อ่านวันละนิด ได้ศัพท์เพิ่มเป็นล้าน!

ต้องบอกว่าการอ่านเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สำหรับการเรียนภาษาด้วยตัวเอง อ่านน้อยได้น้อย อ่านมากได้มาก อันนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของตัวบุคคลจริง ๆ ทุกครั้งที่เราอ่านเราจะได้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มมาเสมอ

สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษไหน ๆ ก็จะเริ่มอ่านแล้วควรอ่านให้ได้ประโยชน์มากที่สุด คือแนะนำให้อ่านข่าวภาษาอังกฤษ บทความ หรือนิตยสารภาษาอังกฤษ

การอ่านจะต่างจากการฟังตรงที่เวลาอ่านเราต้องพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังอ่าน หากเจอคำศัพท์แปลก ๆ ที่เราไม่รู้คุ้ยหรือไม่รู้ความหมายให้เปิดพจนานุกรมและเขียนกำกับไว้เลย (แนะนำให้เขียนลงในเนื้อหาที่เราอ่านไว้เลย)

หากเป็นไปได้ควรอ่านทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งหัวข้อไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือบทความต่าง ๆ ก็ได้ หากเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ให้เปิดพจนานุกรมและเขียนไว้ ถึงแม้จะเป็นคำเดิมที่เราเคยเจอและเคยเปิดมาแล้ว เพราะถ้าเปิดอีกรอบนั่นหมายความว่าเรายังจำไม่ได้

หากอ่านทุกวันเราจะเห็นว่าเราจะเจอคำศัพท์เดิม ๆ บ่อยขึ้น และในที่สุดเราก็จะสามารถจำคำศัพท์คำนั้นได้โดยอัตโนมัติ

แต่การอ่านไม่จำเป็นต้องเปิดแบบละเอียดทุกคำเพราะมันจะทำให้เราเกิดอาการหงุดหงิด ท้อและเลิกอ่านไปในที่สุด บางทีเราสามารถเดาความหมายจากบริบทได้ อันนี้อาจต้องฝึกบ่อย ๆ นะครับ

การเรียนรู้ภาษาที่สองหรือสามขึ้นไปจะต้องมาควบคู่กับความขยันและอดทน หากขาดสิ่งนี้ไปในการเรียนรู้แทบจะไม่ได้ผลเลย อยากให้ทุกคนลองพยายามกันดูนะครับ

ภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือน่ากลัว แต่หากเราไม่รู้แล้วเกิดจำเป็นต้องใช้ในวันข้างหน้านั้นต่างหากล่ะคือความน่ากลัวที่จะมาเยือนเรา

7 – แปลเพลงสากล (ถ้าขี้เกียจแปลก็แค่ฟังให้มากขึ้น)

การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจากเพลงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจมาก ซึ่งคุณจะไม่เพียงแค่ได้ความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างสนุกสนานไปด้วย 

ใช้ประโยชน์จากการฟังเพลงในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

การเรียนภาษาอังกฤษจากเพลงจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษของเราได้ เพราะเราฟังเพลงกันอยู่ทุกวัน และเราก็จำเนื้อเพลง

ความหมายของเพลงได้ง่ายเพราะมีทำนองเพราะ ๆ ให้เราร้องตามได้ ส่วนวิธีการฝึกนั้นก็ไม่ยาก นอกจากนั้นเรายังได้ฝึกทักษะการพูดและฟังภาษาอังกฤษมากขึ้น

จากการฟังการออกเสียงคำต่าง ๆ และหัดร้องเพลงตาม โดยวิธีนี้จะช่วยให้เราจำคำศัพท์ได้ง่ายกว่าการอ่านหนังสือ เนื่องจากเพลงมีทำนองเข้ามาช่วย และศิลปินก็สร้างเพลงมาให้น่าจดจำอยู่แล้ว

เราจะเรียนรู้เมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เพราะปัจจุบันเราสามารถฟังเพลงทางออนไลน์จากมือถือ หรือดาวน์โหลดเก็บไว้ฟังได้ทุกเมื่อแม้ไม่มีอินเตอร์เน็ต

อีกหนึ่งข้อดีคือเราจะได้เรียนรู้วัฒธรรมของประเทศต่าง ๆ เนื่องจากเพลงมักจะมีแนวคิด และวัฒนธรรมของคนในชาตินั้น ๆ สอดแทรกอยู่ในเนื้อเพลง มาด้วยเสมอ 

แต่เวลาใช้วิธีนี้ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จงจำไว้ว่าเวลาที่เจอคำไหนไม่เข้าใจ ให้หาความหมายทันที เราจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่และเข้าใจความหมายโดยรวมของเพลงได้ดีขึ้น

แต่ไม่ควรนำเนื้อเพลงทั้งหมดใส่โปรแกรมแปลตั้งแต่แรก เนื่องจากจะทำให้เราไม่เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรแปลเองเท่าที่ได้และเปิดดูคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจเท่านั้น

เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จนจบทั้งเพลงจึงค่อยเปลี่ยนเพลง แต่เราสามารถเรียนรู้เพียงแค่ท่อนใดท่อนหนึ่งที่เราสนใจ แล้วเปลี่ยนไปยังเพลงอื่นก็ได้ และนั่นจะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษจากเพลงไม่น่าเบื่อด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับวิธีและเคล็ดลับดี ๆ ที่ Eng Breaking เอามาฝากกันวันนี้ หวังว่าคุณคงจะอ่านและประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองของคุณนะครับ

และส่วนใครที่เป็นคน “สมาธิสั้น” ทำอย่างไรก็เรียนไม่สำเร็จสักทีก็ลองเอาไปทำตามกันดูนะครับ รับรองว่าจะช่วยคุณเอาตัวรอดในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

สำหรับวันนี้ Eng Breaking ต้องขอตัวไปก่อนแล้วนะ ไว้ครั้งหน้าเราจะมีอะไรมาฝากกันอีกก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

ไม่พลาดกับบทความนี้:

One thought on “How to เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองกับ Eng Breaking ให้ได้ผลดี

  1. มนตรี ปานเจริญ says:

    🤗- ในการเรียนEngbreaking จะเป็นการเรียนผ่านเว็บไซต์ ผ่านโปรแกรมที่ทางสถาบันออกแบบให้ค่ะ
    โดยจะมีแผนปฏิบัติที่ทางสถาบันออกแบบให้ ทำให้ทราบว่าในแต่ละวันที่เข้าไปเรียนจะต้องฝึกอย่างไรบ้างค่ะ
    และเนื้อหาในคอร์สจะเน้นการฝึกทักษะการฟัง การอ่าน จะเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสนทนาในสถานการณ์ต่างๆค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *