ผู้ที่มีการออกเสียงภาษาอังกฤษถูกต้องเหมือนคนอเมริกันนั้นจะทำ 2 อย่างนี้ได้ดีมาก:
- อย่างแรก มีแนวทางที่ชัดเจนในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษและมั่นใจว่าได้ผลแน่นอน
- อย่างหลัง พวกเขาจะทุ่มเทแรงกาย ในการฝึกฝนและปฏิบัติตามแผนนี้อย่างจริงจัง 100%
แต่เกิดมีคำถามที่ว่า: ทำอย่างไรถึงจะสามารถค้นพบแผนการฝึกฝนการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ได้ผลลัพธ์จริงๆ?
แน่นอนว่าคำตอบอย่างละเอียดจะอยู่ด้านล่างนี้
โปรดอ่านต่อไป!
A – ฝึกการออกเสียงภาษาอังกฤษ – เคล็ดลับในการประสบความสำเร็จ
มีความจริง 1 ข้อในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ:
มีหน่วยเสียงหลายเสียงที่คุณต้องจำให้แม่นทั้ง: 44 หน่วยเสียงพื้นฐานและกลุ่มเสียงนับร้อยที่ออกเสียงยาก
ซึ่งมันไม่ง่ายเลยจริงๆ…ดังนั้น คุณต้องมีความขยันในการฝึกฝนแต่ละหน่วยเสียง แต่ละคำรวมถึงแต่ละกลุ่มเสียงโดยที่ยังไม่ได้พูดถึงปริมาณเพราะมันมากมายจริงๆ และอาจจะทำให้คุณลืมสิ่งที่ฝึกมาในตอนต้นอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม มีอีก 1 วิธีในการฝึกที่ชาญฉลาดกว่านั้นเสียแรงน้อยกว่าแถมได้ผลลัพธ์ที่มากกว่า
นั่นก็คือทฤษฎี 80/20 (Pareto) ช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิผลถึงสองเท่าในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ พอได้ปรับใช้กับผู้เรียนนั้น เห็นว่ามีผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดและผมจะแบ่งปันกับคุณในไม่ช้านี้
B – โปรดจับตาดูการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เมื่อใช้ทฤษฎี 80/20
ก่อนที่จะเข้าไปถึงรายละเอียดของแผนปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนมีสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเจนตามฉบับอเมริกันใน 32 วัน ผมอยากแบ่งปันผลลัพธ์ที่ได้ให้กับคุณทุกคน
เมื่อแนะนำผู้เรียนให้ปฏิบัติตามทฤษฎี 80/20 – แผนการฝึกฝนการออกเสียง ผมได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม
ตอนนี้คุณอาจะตั้งคำถาม:
ทำอย่างไรถึงจะสามารถใช้ทฤษฎีนี้เพื่อให้การออกเสียงนั้นมีประสิทธิภาพใน 32 วัน?
ดูเพิ่ม:
- เคล็ดลับแก้ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษรู้แล้วรอดแน่นอน
- วิธีการออกเสียง ed, s, es ง่ายๆ ใครก็เรียนเองได้
C – ทฤษฎี 80/20 – แผนการฝึกฝนการออกเสียงที่ดีที่สุด
ผมมั่นใจว่าคุณเคยเห็นแผนผังการออกเสียงพร้อมด้วยหน่วยเสียงภาษาอังกฤษพื้นฐาน 44 เสียง (สระ 20 ตัวและพยัญชนะ 24 ตัว) มาแล้ว

อาจารย์จะแนะนำคุณด้วยการออกเสียงและให้ผู้เรียนเลียนการออกเสียงแบบตาม
คุณจะได้เรียนทั้ง 44 หน่วยเสียงในระยะเวลา 12 คาบ แต่ละคาบเรียนตั้งแต่ 3-5 หน่วยเสียงในเวลา 2 ชั่วโมงและอธิบายแต่ละหน่วยเสียงประมาณ 20-30 นาที โดยที่คุณจะฝึกในลักษณะที่กระจายเสียงทั้งหมด 44 หน่วยเสียงและไม่เก่งอะไรเลย
นี่คือวิธีเรียนแบบดั้งเดิมยืดเวลามาหลายสิบปีได้ผลแต่คุณต้องใช้ความพยายามในการฝึกและจะเสียเวลาแรงกายอย่างมาก โดยที่ได้ผลไม่คุ้มเสีย
แต่ในความเป็นจริง ก็ยงมีวิธีที่ฝึกการออกเสียงที่ได้ผลลัพธ์มากกว่าเมื่อคุณโฟกัสไปที่หน่วยเสียงที่สำคัญๆตามทฤษฎีพาเรโต 80/20
กฎ 80/20 หรือ ทฤษฎีพาเรโต (ตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี Vilfredo Pareto) หมายถึง 80 % ของผลลัพธ์นั้นเกิดขึ้นมาจากตัวแปร 20 %
นี่ก็เป็นกฎยอดนิยมสำหรับธุรกิจและในชีวิต ตัวอย่างเช่น:
- 80% ของปัญหาคือ 20% ของสาเหตุ
- 80% ของผลกำไรของบริษัทมาจาก 20% ของลูกค้า
- 80% ของการ ร้องทุกข์ต่อบริษัทก็มาจากลูกค้า 20% ด้วย
- 80% ของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาจากนักวิทยาศาสตร์ 20%
- 80% ของการสนใจของประชาชนมุ่งเน้นไปที่ 20% ของสื่อและดารา
สิ่งนี้ก็ถูกต้องสำหรับการฝึกฝนการออกเสียงภาษาอังกฤษของคุณ
80% สำเนียงภาษาอังกฤษที่เหมือนกับเจ้าของภาษา ของคุณนั้นมาจาก 20% ของเสียงพื้นฐาน (โทนเสียงหลัก 8 เสียง)
นั่นคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณเชี่ยวชาญการออกเสียงภาษาอังกฤษ
ในตอนนี้ พวกเราจะไปค้นรายละเอียดทั้ง 3 ขั้นตอนในแผนการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษกันเถอะ:
ขั้นที่ 1: ฝึก 8 หน่วยเสียงที่สำคัญ – ประมาณ 8 วัน
ขั้นที่ 2: ฝึก 40 หน่วยเสียงที่เหลือ – ประมาณ 20 วัน
ขั้นที่ 3: ฝึกและเข้าใจเทคนิคขั้นสูง – ประมาณ 3 วัน
หลังจากนั้น ผมจะแนะนำรายละเอียดแต่ละขั้นให้กับคุณ
โปรดอ่านต่อไป
D – ขั้นที่ 1: ฝึก 8 หน่วยเสียงที่สำคัญ – ประมาณ 8 วัน
เพื่อการปฏิบัติในขั้นนี้ คุณต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบปากก่อน
มี 4 แบบฝึกที่คุณจะต้องฝึกเพื่อให้กล้ามเนื้อรอบปากนั้นยืดหยุ่น:
แบบฝึกท่าเป่าลมออกทางปาก
แบบฝึกบังคับปากให้เป็นรูปปลา
แบบฝึกกล้ามเนื้อลิ้น
แบบฝึกกล้ามเนื้อคอ
แน่นอนว่าคุณจะสงสัย:ทำไมต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบปาก?
ภาษาอังกฤษนั้นมีหลายหน่วยเสียงที่ไม่เหมือนภาษาไทย
ถ้ายังไม่รู้จักหน่วยเสียงในภาษาอังกฤษแน่นอนว่าจะไม่สามารถรู้วิธีกำหนดรูปปากให้ถูกต้องได้
ดังนั้นคุณต้องมีการฝึกกล้ามเนื้อปากก่อนจึงจะทำให้เคยชิน
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็คล้ายกับเสียงในภาษาอังกฤษซึ่งจำเป็นจะต้องฝึกฝนและนั่นก็คือขั้นพื้นฐานสำหรับการออกเสียงภาษาอังกฤษ
หลังจากที่คุณได้ทำแบบฝึกกล้ามเนื้อรอบปากแล้ว งั้นพวกเราก็มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยเสียงภาษาอังกฤษอเมริกันที่สำคัญใน ตารางสัญลักษณ์สัทศาสตร์สากล (IPA)
8 หน่วยเสียงภาษาอังกฤษอเมริกันที่สำคัญ ที่คุณจะต้องจำให้ขึ้นใจก่อนที่จะฝึกหน่วยๆเสียงอื่นๆได้แก่: /iː/, /ɜː/, /ɑː/, /eɪ/, /dʒ/, /j/, /θ/, /l/

ทำไมหน่วยเสียงพวกนี้ถึงสำคัญ?
8 หน่วยเสียงนี้ปรากฏในคำศัพท์ภาษาอังกฤษถึง 80% หน่วยเสียงเหล่านี้มีอิทธิพลมากในการสร้างเสียงที่หนักแน่นให้กับคำ และจะช่วยให้สำเนียงของคุณน่าฟังเหมือนกับเจ้าของภาษา
อย่างที่คุณรู้ดีว่าภาษาอังกฤษคือภาษาที่มีการเน้นเสียงที่หนักแน่น
เสียงที่หนักแน่นในภาษาอังกฤษไม่ต่างอะไรจากวรรณยุกต์ในภาษาไทย ถ้ายังจำส่วนนี้ไม่ได้คนพื้นถิ่นก็จะไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไรและเป็นไปได้ที่ความสามารถในการฟังของคุณจะแย่
สำหรับการออกเสียงในหน่วยเสียงเหล่านี้ รูปปากของคุณจะต้องอยู่ในตำแหน่งสูงสุด อีกทั้งกล้ามเนื้อปากจะต้องขยายให้ได้มากที่สุด ก็ด้วยเหตุผลนี้คุณจึงต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบปากให้มีความยืดหยุ่นและมีรูปปากที่ถูกต้องสำหรับการฝึกฝนเพื่อผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ
มากไปกว่านั้น 8 หน่วยเสียงนี้เป็นหน่วยเสียงที่ยากในการบังคับรูปปากเพราะไม่เหมือนกับเสียงในภาษาไทย นั่นเป็นเหตุผลที่คนไทยมักจะมีปัญหาอย่างมากในการออกเสียงในหน่วยเสียงเหล่านี้และใช้เวลานานในการออกเสียงจึงจะถูกต้อง
แต่ก็มีคนส่วนมากพยายามหาเสียงที่ใกล้เคียงในภาษาไทยมาเทียบกับเสียงในภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่มีเสียงไหนที่เหมือน
นั่นก็เป็นเหตุผลหลักในการออกเสียงที่ผิด แม้พวกเขาจะฝึกพูดมากแค่ไหน แต่ระบบหน่วยเสียงของเขาไม่เป๊ะก็ทำให้ไม่สามารถฟังและออกเสียงได้อย่างถูกต้องได้
หน่วยเสียงที่สำคัญทั้ง 8 นี้ ประกอบด้วยชุดคำพูดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและยากที่สุดในระบบหน่วยเสียงในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน
ดังนั้น เมื่อคุณเชี่ยวชาญการออกเสียงทั้ง 8 หน่วยเสียงที่สำคัญนี้แล้ว ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณชำนาญในโครงสร้างเกือบทั้งหมดในการสร้างหน่วยเสียง
ทั้งนี้การฝึกฝนในหน่วยเสียงที่เหลือจะเป็นเรื่องง่ายอย่างมากสำหรับคุณ
โดยเฉพาะ:
หน่วยเสียง /iː/, /ɑː/, /eɪ/ สร้างการสั่นสะเทือนในลำคอ สร้างเสียงที่หนักแน่น ตัวอย่าง:คุณลองออกเสียงคำต่อไปนี้:
Party: /ˈpɑːrti/ | Bar: /bɑːr |
Star: /stɑːr/ | Me: /miː/ |
Knee: /niː/ | Tea: /tiː/ |
Away: /əˈweɪ/ | Stay: /steɪ/ |
Lay: /leɪ/ |
หน่วยเสียง /ɜː/ มักจะพบในอักษร “r” ในการออกเสียงอักษร r เป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างสำเนียงอังกฤษ – อังกฤษ และ อังกฤษ – อเมริกัน ตัวอย่าง: ออกเสียงคำต่อไปนี้:
Girl: /ɡɜːrl/ | First: /fɜːrst/ | Burn: /bɜːrn/ |
หน่วยเสียง /dʒ/, /j/, /θ/, /l/ คือหน่วยเสียงที่ไม่มีในภาษาไทยและมักจะออกเสียงผิดมากที่สุด
Job: /dʒɑːb/ | plusJuice: /ʤuːs/ |
plusJump: /ʤʌmp/ | Your: /jʊr/ |
plusYard: /jɑːrd/ | plusYear: /jɪr/ |
Thank: /θæŋk/ | plusThink: /θɪŋk/ |
plusThought: /θɔːts/ | Look: /lʊk/ |
plusGirl: /gɜːrl/ | plusListen: /ˈlɪsn/ |
ดูเพิ่ม:
E – ขั้นที่ 2: ฝึก 40 หน่วยเสียง – 20 วัน
หลังจากที่ชำนาญทั้ง 8 หน่วยเสียงหลักแล้วการฝึกหน่วยเสียงที่เหลือก็จะง่ายขึ้น คุณควรฝึก 40 หน่วยเสียงนี้ตามเสียงแต่ละคู่มีความคล้ายคลึงกันดังตารางต่อไปนี้:

40 หน่วยเสียงแบ่งออกเป็นคู่เสียงที่คล้ายกัน
ถึงแม้ว่าจะฝึกตามคู่เสียงที่มีเสียงคล้ายกันแบบนี้ ก็ทำให้หลายคนสับสนและมักจะฟังผิดได้
การจดจำและฝึกซ้ำไปมากับคู่เสียงที่คล้ายกันก็จะทำให้คุณออกเสียงได้คล่องแคล่วขึ้น
ดังนั้นถ้าคุณรู้วิธีแยกแยะการออกเสียงเหล่านั้น คุณจะพูดภาษาอังกฤษได้เป๊ะมากกว่าและเหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น
สำหรับการออกเสียงตามมาตรฐานสำหรับหน่วยเสียงเหล่านี้ คุณจะต้องปฏิบัติตามดังนี้:
- รูปปากจะต้องเหมือนกับเสียงมาตรฐาน
- ออกเสียงให้เหมือนกับเสียงมาตรฐานและเมื่อเรามั่นใจแล้วว่าสำเนียงของเรานั้นเหมือนกับพจนานุกรม
แต่ละหน่วยเสียง คุณจะต้องฝึกตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- ขั้นที่ 1: ยืดเสียงที่กำลังฝึกใน เวลา 3 วินาที
- ขั้นที่ 2: ยืดเสียงที่กำลังฝึกใน เวลา 1 วินาที
- ขั้นที่ 3: ฝึกการออกเสียงด้วยความเร็วในระดับเดียวกับเจ้าของภาษา
สำหรับการฝึกทั้ง 40 หน่วยเสียงที่ดีที่สุดเหล่านี้คุณควรฝึกทั้ง 4 แบบฝึกในการฝึกกล้ามเนื้อรอบปากที่กล่าวไว้ใน ขั้นที่ 1ก่อน (คุณสามารถดาวน์โหลดรายละเอียดคำแนะนำทีละขั้นตอนในแต่ละบทได้ ซึ่งจะอยู่ที่ท้ายบทความ)
เหตุผลง่ายๆที่จะทำให้วิธีการฝึกนี้ได้ผลลัพธ์คือ:
เมื่อคุณฝึกจนชำนาญทั้ง 8 หน่วยเสียงหลักแล้ว และในส่วนของ 20% ในขั้นตอนที่ 1 และ อีก 36 หน่วยเสียงที่เหลือนั้นคุณแค่จะต้องปรับเปลี่ยนการออกเสียงเล็กน้อย โดยใช้ความพยายามนิดหน่อยแถมเวลาในการฝึกฝนที่สั้นลง
นี่เป็นวิธีเรียนที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับการพัฒนาการออกเสียงในภาษาอังกฤษแบบเร่งด่วน ใช้เวลาไม่นานเพียงแค่เน้นไปที่หน่วยเสียงหลักที่สำคัญไม่ใช่เรียนแบบกระจายเสียงไปทั้งหมด
F – ขั้นที่ 3: ฝึกและเข้าใจเทคนิคขั้นสูง – 3 วัน
หลังจากที่ฝึกทั้ง 2 ขั้นอย่างชำนาญ ก็คือคุณสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกันใน IPA ได้อย่างถูกต้องแล้ว
แต่สำหรับการยกระดับภาษาอังกฤษของคุณให้สูงขึ้น เป็นมืออาชีพมากขึ้น คุณต้องฝึกฝนเพิ่มในเทคนิคขั้นสูงเกี่ยวกับ:การเน้นเสียง สำเนียงและเชื่อมเสียง
1 – เน้นเสียง
อย่างที่ได้เปรยไว้ในขั้นที่ 1 การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษก็เหมือนกับวรรณยุกต์ในภาษาไทย นั่นก็คือคีย์สำหรับการพูดภาษาอังกฤษตามมตรฐาน
สำหรับภาษาอังกฤษ การเน้นเสียงของคำ ของประโยคไม่ใช่จะเน้นเสียงแบบใดก็ได้และคุณไม่สามารถเน้นเสียงคำที่คุณอย่างจะเน้นได้ตามใจที่คุณชอบ
ถ้าคุณเน้นเสียงผิดจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่เข้าใจ ทั้งนี้การเน้นเสียงผิดก็จะทำให้ความหมายหรือประเภทของคำนั้นเปลี่ยนไป ดังนั้น คุณต้องจำให้ขึ้นใจและมั่นใจสำหรับการเน้นเสียงในภาษาอังกฤษ
2 – น้ำเสียง
น้ำเสียง คือ พวกเราพูดอย่างไรโดยที่ไม่ใช่เน้นเนื้อหาแต่เป็นวิธีพูด โดยเฉพาะการขึ้นและลงของน้ำเสียงในตอนพูด
สิ่งนี้สำคัญมาก ถ้าคุณควบคุมการขึ้นลงของน้ำเสียงไม่ถูกจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรือสร้างความไม่พอใจของผู้ฟัง และพิเศษไปกว่านั้น น้ำเสียงคือสิ่งที่จะแสดงออกถึงอารมณ์ผ่านคำพูด ซึ่งน้ำเสียงที่ต่างกันก็จะถ่ายทอดอารมณ์ที่ต่างกันด้วย
บางครั้งคุณไม่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามพูดอะไร แต่ถ้าคุณสามารถสังเกตวิธีการพูดของเขาและแน่นอนว่าคุณจะเข้าใจได้ว่าเขากำลังมีความสุข กำลังเศร้า กำลังโกรธ หรือกำลังเครียดอยู่
คุณจะเข้าใจได้อย่างหลายอย่างเพียงแค่คุณฟังผ่านการพูดของเขา เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ก็จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ธรรมชาติมากขึ้น
3 – เชื่อมเสียง
การเชื่อมเสียงเป็นลักษณะเฉพาะของภาษาอังกฤษ
เชื่อมเสียง คือ เมื่อมี 2 คำอยู่ข้างกัน 1 คำ เริ่มตั้งแต่มี 1 สระ คำที่เหลือลงท้ายด้วย 1 พยัญชนะแล้วพยัญชนะนั้นจะไปนำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ
ตัวอย่าง: 2 คำ “near” และ “it” เมื่ออยู่ข้างกันก็จะเชื่อมเสียง “r” ในคำว่า “it” อ่านว่า nearit
ในการสนทนาในชีวิตประจำวัน เจ้าของภาษานั้นจะพูดเร็วมากๆและมีแนวโน้มที่จะเชื่อมเสียงของคำเข้าด้วยกัน ถ้าคุณไม่เข้าใจวิธีการเชื่อมคำนี้
คุณจะงงงวยเมื่อสื่อสารกับเจ้าของภาษา ดังนั้นคุณจึงต้องฝึกเชื่อมสียงของคำเพื่อให้สามารถฟังได้อย่างเข้าใจและพูดภาษาอังกฤษได้แบบมืออาชีพมากที่สุด ปกติแล้ว
ถ้าไม่มีเวลาคุณก็สามารถฝึกในขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ก็สามารถออกเสียงได้ตามมาตรฐานอังกฤษแบบอเมริกัน แต่ถ้าคุณต้องการที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมืออาชีพ พูดได้อย่างธรรมชาติเหมือนกับเจ้าของภาษาคุณต้องฝึกต่อในขั้นที่ 3 ด้วย
G – และตอนนี้ก็ถึงตาของคุณ…
นี่ก็เป็นแผนการฝึกที่พวกเรานำมาบอกใน 32 วัน
คุณสามารถปรับเวลาให้สั้นลงหรือนานขึ้นได้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ
แน่นอนว่าแผนการฝึกการออกเสียงนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ด้วยแผนการฝึกฉบับบนี้ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดที่เร็วที่สุด
ไม่พลาดกับบทความนี้ :
- การออกเสียงภาษาอังกฤษจะไม่เป็นศัตรูของคุณอีกต่อไป ด้วย 8 วิธีง่าย ๆ นี้
- 10 ข้อผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ควรหลีกเลี่ยง
- ตัวอักษรภาษาอังกฤษ:สำหรับผู้เรียนมือใหม่
-
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.

Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .