ปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษ (pronunciation) นับว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะเจอและไม่รู้วิธีการเพื่อปรับสำเนียงของตัวเองให้ดีขึ้น วันนี้ เราจะแชร์กันปัญหาเมื่อเรียนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเมื่อเราฝึกออกเสียง พร้อมวิธีการแก้ปัญหานี้ พร้อมแล้วลุยเลยค่ะ
5 ข้อผิดพลาดมักจะเจอบ่อยๆ เมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ
คุณเคยถามตัวเองไหมว่าเราผิดพลาดตรงไหนถึงเรียนนานไม่เก่ง เรียนนาน พยายามมากๆ แล้วแต่ทักษะการพูดคุยสื่อสารยังน่าอาย ไม่กล้าพูดหรือยัง ถ้าเรารู้ว่าเราผิดตรงไหน เราถึงจะหาวิธีการช่วยปรับปรุงให้ดีได้นะคะ
ส่วนใหญ่ผู้เรียนมักจะมองผ่านความสำคัญของทักษะการฟังและฝึกออกเสียงเพราะคิดว่าต้องการมีคลังศัพท์เยอะก่อน ไวยากรณ์ต้องเก่งก่อนถึงจะพูดได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้าไม่ให้ความสำคัญกับการฟังและฝึกพูด ฝึกออกเสียง เราจะไม่ได้สำเนียงที่ดี และยิ่งทิ้งไว้นานยิ่งแก้ยากเหมือนกับคำว่า ไม้แก่ดัดยากนั้นเอง
ข้อผิดแรกที่ผู้เรียนมักจะเจอเมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษนั้นก็คือไม่ออกเสียงตัวอักษรสุดท้าย
ต่างกับภาษาไทยบ้านเรา และยากในการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษก็เพราะหลายๆ คำในภาษาอังกฤษเราต้องออกเสียงตัวอักษรสุดท้ายด้วยฟังจะดี จะเหมือนเจ้าของภาษาแต่ผู้เรียนมักจะลืมบ่อยมาก บ้างที่มีคำสองคำออกเสียงคล้ายๆ กันแต่มันแตกต่างกันแค่ตัวอักษรสุดท้ายเลยถ้าเราออกเสียงเหมือนกัน จะทำให้คนฟัง งง ไม่เข้าใจเราอยากสื่ออะไรแน่นอน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดนะคะ
เรามีคำศัพท์นี้ life ที่แปลว่า ชีวิต และ light ที่แปลว่าแสง และ line แปลว่าเส้น หรือ like แปลว่าชอบ เห็นไหมคะว่าทั้งสี่คำศัพท์นี้มีตัวอักษรแรกเหมือนกันคือ /l/ และเหมือนกันที่มีการออกเสียงเป็น /ai/ ด้วย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวอักษรสุดท้ายนั้นเอง เลยถ้าเราออกเสียงแต่ลืมออกเสียงตัวอักษรสุดท้ายจะทำให้คนฟังสับสนแน่นอน
ออกเสียงแบบนี้นะคะ เราจดไว้และเอามาฝึกบ่อยๆ ถึงจะชินค่ะ
- Life /laif/
- Light /lait/
- Line /lain/
- Like /laik/
และผู้เรียนบ้างคนมักจะชอบเพิ่ม /s/ , /es/ เมื่อพูดแบบไม่ถูก เพราะไม่ใช่คำไหนก็ต้องเพิ่ม /s/, /es/ นะคะ เราต้องแยกให้ออกความหมายของคำที่เราอยากสื่อคืออะไรก่อน เพราะบ้างคำถ้าเราเพิ่ม /s/ มันจะหมายถึงจำนวนมากด้วยค่ะ
ออกเสียง s เป็น /z/ ถ้าเจอคำศัพท์มีตัวอักษรสุดท้ายเป็น /b/, /d/, /g/, /v/, /m/, /n/, /l/, /r/…เราสามารถฝึกออกเสียงตามตารางดังนี้
คำศัพท์ | วิธีการออกเสียงถูกต้อง |
Crabs | /kræb/ |
Words | /wɜːd/ |
Bags | /bæɡ/ |
Lives | /laɪvz/ |
Breathes | /briːð/ |
Pen | /pen/ |
Sings | /sɪŋ/ |
Sells | /sel/ |
Cars | /kɑːr/ |
Sees | /siː/ |
ออกเสียง s เป็น /s/ ถ้าเจอคำศัพท์มีตัวอักษรสุดท้ายเป็น /f/, /k/, /p/, /t/, /th/, …เราสามารถฝึกออกเสียงตามตารางดังนี้
คำศัพท์ | วิธีการออกเสียงถูกต้อง |
Stops | /stɒp/ |
Students | /ˈstjuː.dənt/ |
Looks | /lʊk/ |
Laughs | /lɑːf/ |
Months | /mʌnθ/ |
ออกเสียง s , es เป็น /iz/ ถ้าเจอคำศัพท์มีตัวอักษรสุดท้ายเป็น /s/, / t /, /d/, /c/, /x/, /z/, /ss/, /ch/, /sh/, /ge/ …เราสามารถฝึกออกเสียงตามตารางดังนี้
คำศัพท์ | วิธีการออกเสียงถูกต้อง |
Kisses | /kɪs/ |
Roses | /rəʊz/ |
Washes | /wɒʃ/ |
Collages | /ˈkɒl.ɑːʒ/ |
Matches | /mætʃ/ |
Changes | /tʃeɪndʒ/ |
ไม่พลาดกับบทความนี้:
วิธีการออกเสียง ed, s, es ง่ายๆ ใครก็เรียนเองได้
ทำความรู้จักเบื่องต้นกับการออกเสียงในภาษาอังกฤษ
เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์ระหว่างเครื่องหมายทับสองอัน (/ /) หมายถึงการออกเสียงหรือน้ำเสียงของคำศัพท์นั้น
- เสียงก้อง คือเสียงที่ออกมาเมื่อเราพูดแล้วมีเสียงสะท้อนดัง เมื่อคุณพูดอักษร /l/ หรือ /m /, / n /, / ŋ /,/r/, /l/, /w/, / y /
- เสียงไม่ก้อง เป็นอีกแบบหนึ่งที่ตอนที่เราพูดออกมาไม่มีเสียงสะท้อนดัง เมื่อคุณพูดอักษร /p/ หรือ /k/, /f/, /t/, /s/, /θ/, /ʃ/, /tʃ/
- นอกจากนี้ยังมีการออกเสียงอื่นๆ เช่น /b/, /g/, /v/, /d/, /z/, /ð/, /ʒ/, /dʒ
ข้อผิดพลาดที่สองเมื่อผู้เรียนมักจะเจอเมื่ออกเสียงภาษาอังกฤษคือสับสนระหว่างเสียงสระสั้นและสระยาว
ในภาษาอังกฤษเมื่อออกเสียงเราต้องใส่ใจเรื่องออกเสียงของสระสั้นและสระยาวเพราะมันจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำศัพท์นั้นด้วย ผู้เรียนไทยส่วนใหญ่จะเจอปัญหาสับสนระหว่าง /i:/ และ /ɪ/ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณอยากออกเสียงคำว่า “leave” แต่ใช้เสียงสระ/i/ มันจะกลายเป็น “live” ความหมายของคำจะเปลี่ยนไปทันทีใช่ไหมคะ ควรใช้เวลาในการฝึกออกเสียงสระสั้นกับยาวด้วยนะคะ เช่น
- /i:/: Need /ni:d/ ; read /ri:d/; leave /li:v/; seat /si:t/
- /ɪ/: Knit /nɪt/; rid /rɪd/; live /lɪv/; sit /sɪt/
ยังไม่หมดนะคะ ผู้เรียนหลายคนมักจะผิดเมื่ออกเสียงมี /ʊ/ และ /uː/ ผิดเต็มๆ เมื่ออกเสียงสองคำ “foot” และ “food” โดยความหมายแตกต่างกันไปเยอะเลยควรใช้เวลาในการฝึกออกเสียงสระสั้นกับยาวด้วยนะคะ เช่น
- /u:/: Room /ru:m/; food /fu:d/; wood /wu:d/
- /ʊ/: Book /bʊk/; foot /fʊt/; would /wʊd/
ข้อผิดพลาดที่สามเมื่อผู้เรียนมักจะเจอเมื่ออกเสียงภาษาอังกฤษคือสับสนระหว่างพยัญชนะบางตัว
ออกเสียงสับสนระหว่าง /t/, /tr/, /dʒ/ กับ /tʃ/
ปัญหานี้คงเห็นบ่อยนะคะ ที่ผู้เรียนออกเสียงสระt/ /tr/ & /ʤ/เป็น /ʧ/
- /t/: time /taim/; task /tæsk/; talent /’tælənt /; cutter / ‘kətər/
- /tr/: trash /trӕ∫/; transit /’trænsɪt/; hatred /’heɪtrɪd /; tried /ˈtrɑɪd/
- /ʤ/: cage / keɪdʒ/; badge /bæʤ/; grudge /grədʒ /
ออกเสียงผิดระหว่าง /ʃ/ กับ /s/
- /s/: muscle /məsəl /; person /’pɜrsən/
- /ʃ/(ตัวอักษรแรก): shine /ʃaɪn/; shape /ʃeɪp/
- /ʃ/(ตัวอักษรสุดท้าย): selfish /sɛlfɪʃ /; cash /kæʃ /
ออกเสียงผิดระหว่าง /r/ กับ /z/
- /r/ (ตัวอักษรแรก): rat /ræt /; reason /’rizən /
- /r/ (ตัวอักษรอยู่กลาง): parking /’pærkɪŋ /; caring /’kɜriŋ/
- /r/ (ตัวอักษรสุดท้าย): letter /’lɛtər/; closer /’kloʊzər/
ออกเสียงผิดระหว่าง /l/ กับ /n/
- /l/ (ตัวอักษรแรก): light /lait/; laugh /læf /; learn / lɜrn/
- /l/ (ตัวอักษรอยู่กลาง): fault /fɔlt /; falling /’fɑlɪŋ /
- /l/ (ตัวอักษรสุดท้าย): recall /ri’kɑl /; identical /aɪ’dɛntɪkəl /
ข้อผิดพลาดที่สี่เมื่อผู้เรียนมักจะเจอเมื่ออกเสียงภาษาอังกฤษคือไม่รู้วิธีเชื่อมเสียงหรือกลืนเสียง
ตัวอย่างที่คนไทยเราคุ้นเคย ก็คือ Thank you เราออกเสียงว่า -แธ็ค-กิว- ซึ่งก็เพี้ยนมาจาก -แธ็ค-คยู- เราไม่ออกเสียงว่า -[แธ็ค]-ยู-
คำว่า Your eyes เวลาคนไทยเราพูดสองคำนี้ติดกัน มักจะออกเสียงว่า “ยัวอาย” แต่เวลาเจ้าของภาษาพูดคำง่ายๆแบบนี้ เราอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ว่า เขาหรือเธอกำลังพูดว่าอะไร เพราะเสียงที่พวกเขา พูดออกมา จะออกเสียงเป็น “ยัวราย”
ข้อผิดพลาดที่ห้าเมื่อผู้เรียนมักจะเจอเมื่ออกเสียงภาษาอังกฤษคือพูดแบบไม่เน้นเสียง
หากคุณอยากได้สำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาคุณก็ต้องจดจำเกณในการพูดตามนี้นะคะ
สำหรับคำถามจะขื้นเสียงท้ายประโยค เฉพราะคำถามที่เชิงคำตอบว่า Yes/No
ยกตัวอย่างเช่น
- Have you ever come here? – คุณเคยมาที่นี่ไหม?
- Are you a student? – คุณเป็นนักเรียนใช่ไหม?
- Are you ready? – คุณพร้อมหรือยัง?
ถ้าเป็นคำถามต้องขึ้นเสียงเน้นในคำถามอยู่ท้ายของประโยค เช่น
- You love her, don’t you? – คุณรักเขาใช่ไหม?
- John is your teacher, isn’t he? – John เป็นครูของคุณใช่ไหม?
สำหรับประโยคต้องการช่วยเหลือ ขอร้องเราก็ขื้นเสียงท้ายประโยคเช่น
- Can you give me a cup of tea? – เธอให้ฉันแก้วชาได้ไหม/ ฉันขอแก้วชาหน่อยได้ไหม?
- Will you turn off the light for me, please? – ช่วยปิดไฟให้ฉันหน่อยได้ไหม?
เพราะถ้าคุณขึ้นเสียงอยู่ด้านบนของประโยคคำขอร้องหรือรบกวนแบบนี้มันจะทำให้คนฟังเข้าใจผิดว่ามันเป็นคำสั่ง ดังนั้นเราต้องระวังด้วยนะคะ
เมื่อแสดงความยินดี แฮปปีเราจะขึ้นเสียงอยู่ท้ายประโยคเช่น
- Wow, that’s great! I’m so happy! – ว้าว สุดยอดกจริงๆ ฉันแฮปปีมากๆ เลย!
- Oh, really surprise! – ว้าว ฉันแปลกใจมากจริงๆ นะ!
เมื่อคุณสนิทกับใครสักคนแล้วก็สามารถเน้นขึ้นเสียงเมื่อเรียกเขาได้เช่น
- Oh sweetie, where are you all day? – อ่ะ ลูกสุดที่รักของแม่ไปไหนทั้งวันคะ?
- My honey, I give all my love for you. – ที่รักครับ หัวใจดวงนี้ของพี่ให้สำหรับที่รักคนเดียวนะครับ
วิธีการออกเสียงปรับเสียงลง (the falling tune) สำหรับประโยคแบบไหนบ้างลองดูนะคะ
สำหรับประโยคการทะทายสวัสดี เจ้าต่างชาติมักจะปรับเสียงลงอยู่ท้ายประโยคเพื่อแสดงความยินดี ความเคารพ และดูเป็นมิตรมากขึ้น
ปรับเสียงลงเมื่อเจอคำถามแบบนี้ด้วยนะคะ ”What, When, Where, Why, How,…” เช่น
- What do you usually do in the evening? – คุณมักจะทำอะไรตอนเย็นๆ?
- Why are you here today? – ทำไมคุณอยู่ที่นี่?
- What are you doing? – คุณกำลังทำอะไรอยู่?
ปรับเสียงลงเมื่อคุณอยากแสดงอะไรที่สำคัญ ที่จำเป็นหรือบังคับก็ตามเพื่อเน้นความสำคัญของเรื่องที่กำลังจะพูดเช่น
- Sit down! – นั่งลง!
- Don’t be late anymore! – อย่าไปสายอีกนะคะ
ไม่พลาดกับบทความนี้:
แผนการเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษเบื้องต้นที่คุณต้องห้ามพลาด
เคล็ด ลับแก้ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษรู้แล้วรอดแน่นอน
1 – อะไรที่มักจะออกเสียงผิดเราต้องใช้เวลาฝึกบ่อยจนชิน
สำหรับคำศัพท์ไหนที่ออกเสียงยาก มักจะผิดบ่อยเราต้องจดไว้เพื่อฝึกบ่อยๆ เช่น 10 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยเราชอบออกเสียงกันผิดตลอดคือ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ | ความหมาย | วิธีการออกเสียง |
Sword | ดาบ | มองเผินๆ แล้วเราอาจจะเผลอออกเสียงคำๆ นี้ว่า “สะ-หวอด” แต่จริงๆ แล้วต้องอ่านว่า “ซอร์ด” นะคะ |
Oil | น้ำมัน | คำนี้อ่านออกเสียงว่า “ออย” ไง ใครๆ ก็รู้! แต่ที่ใครๆ (อาจยัง)ไม่รู้ก็คือ จริงๆ แล้วมันอ่านออกเสียงว่า “โอย-เยิล” ต่างหาก |
Onion | หัวหอม | “ออน-เนี่ยน” ใช่ไหม? ไม่ใช่จ้า! คำนี้ต้องอ่านว่า “อัน-เยิน” ถึงจะถูก |
Volume | เสียง | ปรับ “วอ-ลุ่ม” ฝรั่งจะเป็นงงเอาเด้อ แต่ถ้าออกเสียงว่า “โวล-ลยุ่ม” อะเป็นอันเข้าใจ |
Vegetable | ผัก | ศัพท์คำนี้อ่านออกเสียงว่า “เวจ-ทะ-เบิล” แค่นี้พอ ไม่ต้องสะกดทุกคำแบบ “เว-เจท-ทะ-เบิล” เนี่ยไม่เอานะ |
Receipt | ใบเสร็จ | สำหรับคำนี้เราอาจจะเผลอออกเสียงไปว่า “รี-ซีป” เพราะเห็นว่ามีตัว P อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วคำนี้ควรออกเสียงว่า “รี-ซีท” ต่างหาก |
Quay | ท่าเรือ | สำหรับคำนี้เราขอแนะนำการออกเสียงที่ถูกต้องเลยก็แล้วกันเนอะ นั่นคือต้องอ่านว่า “คี” สั้นๆ ใครเจอคำนี้ก็ตั้งสติแล้วออกเสียงกันอย่างระมัดระวังด้วยนะ |
Elephant | ช้าง | สำหรับพี่ช้างเราต้องออกเสียงว่า “เอ-ลิ-เฝิ่นท” ไม่ใช่ “อิ-เลฟ-เฟ่น” นะคะ |
Juice | น้ำผลไม้ | สารภาพมาซะดีๆ ใครเผลอออกเสียงคำนี้ว่า “จุ๊ยส์” บ้างเอ่ย เอาใหม่นะ! คำนี้ต้องออกเสียงว่า “จูซ” น้า |
February | กุมภาพันธ์ | คุณต้องออกเสียงอักษรrทั้งสองตัว: เฟ็บ-รู-อา-หรี่ ไม่ใช่ เฟ็บ-ยู-อา-หรี่ |
2 – เริ่มจากพื้นฐาน อย่ามองผ่านความสำคัญของทักษะการฟังและพูด
ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไหนก็ตาม เราจะเรียงระดับความสำคัญตามนี้ ฟัง พูด อ่าน เขียน พูดแบบนั้นไม่ใช่เราจะแบ่งเวลาให้ทักษะการพูดเยอะๆ แต่ลดเวลาของทักษะการอ่าน หรือเขียนลงนะคะ เราต้องเห็รความสำคัญของการสื่อสาร กล้าพูด ไม่ร้องรอวันที่มีคลังศัพท์เยอะ หรือเก่งไวยากรณ์แล้วถึงกล้าพูดนะคะ ต้องใช้เวลาสำหรับแต่ละทักษะยังไงมให้เหมาะสมก่อนค่ะ
หากฝึกได้สำเนรยงของเจ้าของภาษาก็ต้องรู้วิธีการอกเสียงของ 44 ตัวอักษรตามInternational Phonetics Alphabet นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก หากมองผ่านจะน่าเสียได้มากจริงๆ ลองฝึกตามตารางดังนี้นะคะ
การออกเสียงสระ (IPA) | |
---|---|
iː | อี |
ɪ | อิ |
ʊ | อุ |
uː | อู |
ɛ | เอะ |
ə | เออะ |
ɜː | เออ |
ɔː | ออ |
æ | แอะ |
ʌ | อะ |
ɑː | อา |
ɒ | เอาะ |
ɪə | อิเออะ |
eɪ | เอะอิ |
ʊə | อุเออะ |
ɔɪ | อออิ |
əʊ | เออะอุ |
eə | เอะเออะ |
aɪ | อาอิ |
aʊ | อาอุ |
ดูเพิ่มเติมที่:
เผยเคล็ด ลับในการฝึกพูดภาษาอังกฤษเบื้องต้นดีที่สุดปี
การออกเสียงพยัญชนะ | |
---|---|
p | พ |
b | บ |
t | ท |
d | ด |
ʧ | ช / ฉ |
ʤ | จ |
k | ค |
g | ก |
f | ฟ / ฝ |
v | ฟฺ / ฝฺ |
θ | ซ |
ð | ด |
s | ซ / ส |
z | ซฺ / สฺ |
ʃ | ช / ฉ |
ʒ | ชฺ / ฉฺ |
m | ม |
n | น |
ŋ | ง |
h | ฮ / ห |
l | ลฺ |
r | รฺ |
w | ว |
j | ย |
3 – ฝึกฟังทุกวัน
ทำไมอยากออกเสียงภาษาอังกฤษดีเราต้องฝึกทักษะการฟังด้วยคุณเคยตั้งคำถามนี้มาก่อนไหมคะ จริงแล้วสองทักษะนี้มีความเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างมาก ถ้าคุณฟังดี คุณสามารถออกเสียงตามด้วย เป็นวิธีการเรียนเลียนแบบที่ใครอยากพูดภาษาอังกฤษเก่งก็เคยใช้มาแล้วนะคะ
ดังนั้นเราควรแบ่งเวลาในหนึ่งวันเพื่อฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ร้องเพลงตามหรือ ว่างๆ ก็จัดเวลาดูหนัง ดูรายการเป็นภาษาอังกฤษด้วย เริ่มจากบทฟังที่ง่ายๆ พื้นฐานเช่นบท สนทนาใช้ในชีวิตประจำวันก่อน เพื่อเก็บตกคำศัพท์และเรียนรู้วิธีการออกเสียงไปด้วยนะคะ
รายการที่คนเรียนภาษาอังกฤษมักจะชอบต้องพูดถึงก็คือ BBC, CNN หรือ VOA ที่จะตอบสนองความต้องการของคุณแน่นอน ลองดูนะคะ
4 – บันทึกเสียงของตัวเอง หรือฝึกพูดกับตัวเองในกระจก
ฟังแปลกๆ ไหมคะ พูดกับตัวเองในกระจก แต่วิธีนี้มีผลดีมากๆ ที่ผู้เรียนหลายๆ คนเคยแชร์กันนะคะ เรื่องที่เราฝึกพูดต่อกระจกช่วยเราแก้ท่าทาง การใช้ปาก การใช้ “body language” ด้วยนะคะ ถ้าคุณกำลังมีการบ้านที่ต้องไปเสนอต่อหน้าห้องเรียน ก็ลองฝึกพูดกับตัวเองผ่านกระจกก่อนนะคะ รับรองผลดีค่ะ
หรือไม่งั้นคุณก็ลองออกเสียงตามรายการ หรือนักร้อง ดาราต่างชาติที่คุณชอบ ที่คุณอยากได้สำเนียงของเขาแล้วบันทึกเสียงของตัวเองไว้ พูดแล้วก็เอามาลองฟังว่าสำเนียงตัวเองเป็นไงบ้าง อะไรต้องปรับไหม ก็เป็นวิธีที่น่าลองค่ะ ผ่านวิธีนั้นคุณยังสามารถวัดความพัฒนาของตัวเองในแต่ละระยะเวลาด้วย
5 – มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องสร้างเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรก
แน่นอนแล้วถ้าการเรียนภาษามันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ใครๆก็ตามได้หมด มันจะไม่ใช่เรื่องที่เราต้องค้นค้าววิธีการเรียน แชร์ประสบการณ์กันเหมือนทุกวันนี้ใช่ไหมคะ
มันไม่หมายถึงว่าเรื่องเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ยากทำไม่ได้ แต่มันหมายถึงว่าเมื่อคุณอยากเก่งคุณต้องใส่ใจจริงๆ ใช้เวลาอย่างเหมาะสม มั่นใจนิส่งที่ตัวเองเลือก ถ้าลองวิธีไหนแล้วต้องลองให้สุดๆ ว่ามันเหมาะ มันมีผลจริงไหม อย่ายอมแพ้ ยอมปล่อยง่ายๆ นะคะ
ดังนั้นก่อนที่ลงมือเรียนรู้ภาษาที่สอง ผู้เรียนควรมีแผนการเรียน ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองอย่างชัดเจนว่าอยากได้อะไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ ถ้าทำไม่ได้จะเป็นอย่างไร ถ้าทำได้จะได้อะไรบ้าง เพื่อกระตุ้นตัวเองผ่านช่วงเวลาที่เจออุปสรรค์ ตั้งใจในสิ่งที่ทำมากขึ้นและอย่าลืมว่าสำหรับการเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างเสมอ ไม่ใช่วันนี้ว่างจะเรียน วันต่อไปยุ่งจะไม่เรียน วันนี้เรียนบทนี้ วันต้องไปเรียนข้ามบทเรียน แบบนั้นจะไม่ได้ผลดีนะคะ
6 – ถ้าอยากพูดเก่งก็ต้องกล้าพูด
อย่ากล้วเรื่องพูดผิด อย่าอับอายเมื่อกำลังฝึกออกเสียง ฝึกพูด เพราะใครๆ ก็คงจะผ่านจุดๆ นั้นมาถึงจะเก่งได้ หากเราไม่กล้าพูดแน่นอนว่าตัวเราเองกับ เพื่อนอยู่รอบๆ จะไม่รู้เราผิดตรงไหน เพื่อช่วยแก้ไขให้นะคะ มั่นใจในตัวเอง คิดบวก คิดว่าคนอื่นเขาทำได้ตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน และพยายามวันละนิด แค่ทำแบบนั้นได้คุณก็สำเร็จถึง 50% แล้วค่ะ
7 – พูดคุยกับเจ้าของภาษา เรียนเป็นกลุ่ม
ถ้าอยากได้สำเนียงของใคร เราก็ต้องคุยกับเขาเลียนแบบตามเขาเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นถ้าอยากได้สำเนียงเหมือนเจ้าต่างชาติเราก็พยายามคุยกับเจ้าต่างชาติ หาเพื่อนใหม่ หรือชวยเพื่อนๆ มาเล่นเกม สร้างบทสนทนาต่างๆ เพื่อฝึกพูด คุณสามารถคุบกับเพื่อต่างชาติ ครูต่างชาติผ่านคอรสเรียนของ English Breaking ได้เลย เป็นคอร์สเรียนตัวต่อตัว และจะมีกลุ่มผู้เรียนที่สามารถเข้ามาแชร์ประสบการณ์เรียนภาษาอังกฤษด้วย
ว่าอย่างไรบ้างคะคุณสำหรับเทคนิคการช่วยแก้ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่เรามาแชร์กันวันนี้ หากคุณเห็นว่าชอบ มีประโยคช์ดีๆ อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบด้วยนะคะ ไว้เจอกันในหัวข้อที่น่าสนุกถัดไปค่ะ สำหรับวันนี้ขอล่าก่อนนะคะ
ดูเพิ่มเติม :
รู้หรือไม่! คำถามสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษยอดฮิต พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .