10 ข้อผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ควรหลีกเลี่ยง

ออกเสียงภาษาอังกฤษจะสำคัญขนาดไหน และปัญหาของการการออกเสียงภาษาอังกฤษผิดคืออะไร วันนี้ EngBreaking.co.th จะชี้ให้เห็นชัด ๆ กับ 10 ข้อผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ควรหลีกเลี่ยง

เพื่อช่วยผู้เรียนได้รู้ถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขในการออกเสียง เรียนแล้วรับรองว่าทักษะการพูดจะได้อัพ level อย่างแน่นอน

ดูบทความโดยละเอียด: วิธีการออกเสียง ed, s, es ง่ายๆ

#1 ผิดที่ไม่อ่านเสียงแทรกเมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ

การอ่านเสียงแทรกสำคัญมาก มันจะทำให้การพูดของคุณมีจังหวะ พูดแล้วฟังเย็นหู แต่ผู้เรียนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษมักจะมองข้ามเรื่องออกเสียงแทรกเช่นคำที่ออกเสียง อู

หลายคำจะมีเสียง Y (invisible Y) แทรกในขณะที่ออกเสียง หรือ คำที่ประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัว ซึ่งตัวที่สองเป็นตัวอักษร E (hidden E) จะอ่านออกเสียงเหมือนมีการแทรกตัวอักษร E เข้าไปข้างหลังอีก 1 ตัว

ยกตัวอย่างในภาษาอังกฤษมีหลายคำที่มีเสียงแทรกเรามักจะเจอบ่อยอยู่เช่น

  • cute อ่านถูกต้องจะเป็น cyute /คิวท์/
  • university — อ่านถูกต้องจะเป็น /ยูนิเวอร์ซิตี้/ ไม่อ่านว่า อูนิเวอร์ซิตี้
  • value — valyue อ่านถูกต้องจะเป็น /แวล ยู/ 

คำที่ประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัว ซึ่งตัวที่สองเป็นตัวอักษร E เช่น

  • be – อ่านถูกต้องจะเป็น /บี/ เหมือน /bee/
  • me – อ่านถูกต้องจะเป็น / มี/ เหมือน /mee/

#2 ใช้เสียงสระในภาษาอังกฤษผิด

ออกเสียงภาษาอังกฤษถ้ารู้วิธีจะง่ายมากๆ
การฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษจะไม่ยากอย่างที่คิด

ถ้าเราอยากออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูก เราต้องรู้ว่าในภาษาอังกฤษมีเสียงสระอะไรบ้าง และฝึกออกเสียงตามให้ชินจะช่วยในการอ่านและพูดได้รวดเร็วและคล่องมากขึ้น

สระในภาษาอังกฤษประกอบด้วยตัวอักษร A E I O U และเมื่อเอามาผสมกันจะออกเสียงแบบไหนให้ถูกต้อง ต้องดูในตารางดังนี้

สระในภาษาอังกฤษ การออกเสียงที่ถูกต้อง ฝึกออกเสียงกับคำศัพท์
แอะ กับ อะ อ้าปากกว้างสุด แล้วออกเสียงเป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด
a_e เอ fade
อิ หรือ ไอ (แล้วแต่กรณี) fin
เอะ fed
ee  อี feed
u เออะ cup
ull อุ กับสระ อู bull
เอาะ cop
oo อู boot
o_e โอ bone
i_e ไอ fine
oi ออย coin
ou อาว round

#3 ไม่ใช้การเน้นเสียงเมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ

นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ

ความผิดในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ควรหลีกเลี่ยงข้อที่สามคือ ต้องพูดถึงคือการอ่านแบบทั่วๆ ไป

แม้ว่าอ่านชัดแต่ยังขาดการเน้นเสียงทำให้คำพูดยังไม่เย็นหู เสียงยังไม่ได้เพราะ การเน้นเสียงนี้หมายถึงการทำให้เสียงดังขึ้น หรือทำให้เสียงสูงขึ้น และแต่ละศัพท์จะมีการเน้นเสียงการเน้นเสียงในแต่ละที

ผู้เรียนมักจะเจอในพจนานุกรมคำศัพท์ที่มีตัวอักษรได้เน้นตัวใหญ่ คือ เสียงที่เน้น ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นง่ายและออกเสียงตามให้ถูกต้อง มีการเน้นเสียงฟังจะได้เพราะ เช่น

  • คำว่า Option จะได้เขียนเป็น /OP-tion/ เสียงเหมือน อ้อป-ชัน ในคำนี้เราจะเน้นเสียงตรงที่ตัวอักษร “O”
  • คำว่า canal จะได้เขียนเป็น /ca-NAL/ เสียงเหมือน คะ-แนล (ลากเสียง แนล) ในคำนี้เราจะเน้นเสียงตรงส่วนที่สองของคำคือ “NAL”

แล้วถ้าในหนึ่งประโยคเราจะทราบว่าตรงไหนเราจะต้องการเน้นเสียงเป็นคำถามที่ผู้เรียนหลายคนมักจะสงสัยเมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ เทคนิคคือ

ในประโยคจะมีการเน้นเสียงหลายจุด ในนั้นคำท้ายสุดของประโยคจะมีการเน้นเสียงหนักสุด และสำหรับ pronoun และ preposition เราจะยกเว้นไม่เน้นเสียง ยกตัวอย่างกับประโยคเช่น

  • If you don’t want to add a poll to your topic. สำหรับประโยคนี้เราจะอ่านเป็น If you don’t want to add a poll to your topic.

หรืออีกประโยคหนึ่งที่ต้องการมีการเน้นเสียงเช่น

  • I don’t think that control is in OPEC’s hands. สำหรับประโยคนี้เราจะอ่านเป็น 

I don’t think that control is in OPEC’s hands.

ผู้เรียนลองฝึกออกเสียงทั้งสองแบบแล้วบันทึกเสียงไว้เพื่อเอามาฟังเพื่อดูว่าการอ่านแบบไหนจะฟังเพราะมากขึ้น รับรองว่าจะชอบกับวิธีการอ่านที่เน้นเสียงดังนั้นอย่ามองข้ามการเน้นเสียงเมื่ออ่านหรือตั้งประโยค

นอกจากนั้นยังมีการกฎการรับเสียงที่ผู้เรียนควรรู้เช่น

  • Are you a teacher? 
  • Do you like music? 

ในคำถามที่มีคำตอบเป็น Yes/No ต้องการใช้กระแสเสียงต่ำ (Fall) ในส่วนแรกของประโยคและขึ้นเสียง (Raise) ในส่วนท้ายประโยค

ฝึกทุกวันเพื่อออกเสียงให้ดีขึ้น
ควรฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษวันละนิดเพื่อพูดได้อย่างคล่อง

#4 ชอบลืมการใช้เสียงเชื่อมเมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ

ในภาษาอังกฤษผู้เรียนเจอเจอคำศัพท์ที่มีการอ่านออกเสียงต่อเนื่องระหว่างคำที่อ่านต่อเนื่องกันที่ได้เรียกชื่อว่าเสียงเชื่อมระหว่างกันหรือ Linking Sounds

เช่นคำว่า Weekend อ่าน วีคเค็นด์ โดยคำว่า เอ็นด์ จะออกเสียงเป็น เค็นด์ 

หรือคำที่ใช้บ่อยมากคือ Thank you เราออกเสียงว่า แธ็ค คยู ไม่ใช่ออกเสียงเป็น -[แธ็ค]-ยู- เหมือนที่หลายคนมักจะพูดผิดหรือพูดเพี้ยนไป ยกตัวอย่างดังนี้

  • wriTE It  จะได้อ่านออกเสียงเป็น /raɪtɪt/ ตัวอักษรที่ได้เน้นตัวใหญ่หมายถึงจะต้องอ่านออกเสียงเชื่อยมโยงกับคำต่อไป
  • reaD It จะได้ออกเสียงเป็น /riːdɪt/ ที่เห้นว่าตัวอักษรได้เน้นใหญ่ /D/ จะได้เชื่อมกับคำต่อไปคือ /it/ 
  • drinK IT Up จะได้ออกเสียงเป็น /drɪŋkɪtʌp/ 
  • meeT AT Eight จะออกเสียงเปน /miːtəteɪt/ 
  • I founD It ออกเสียงเป็น /aɪ faʊndɪt/ 

#5 ลืมใช้เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค (Intonation)

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation ที่เข้าใจกันง่ายคือการใช้เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค หรือออกเสียงขึ้นลงที่ในเวลาพูดให้การพูดได้เพราะดี ได้เหมือนเจ้าของภาษาและก็ยังช่วยผู้เรียนเราในการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย

สี่งที่เรียกว่า Intonation แบ่งเป็นสองรูปแบบคือ การลงเสียงต่ำหรือเรียกได้ว่า 

falling intonation อีกรูปแบบหนึ่งคือ การขึ้นเสียงสูง หรือเรียกได้ว่า rising intonation แล้วเมื่อไหร่เราจะใช้การขึ้นเสียงสูง เมื่อไหร่จะใช้การลงเสียงต่ำ ไปเช็คดูหลักการใช้พร้อมกันต่อไปนี้

Falling intonation เมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษใช้กับ

  • ประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ธรรมดา เช่น I want to see you again.
  • คำลงท้ายของประโยคคำถามแบบ Wh-question เช่น Who is that? What’s it?
  • ประโยคคำสั่งที่เน้น เช่น Don’t make loud noise!

Rising intonation เมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษใช้กับ

  • การลงท้ายประโยคคำถามที่เป็นแบบ yes/no question
  • ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เราต้องการให้มันเป็นคำถาม เช่น You like it?
  • การแสดงการทักทาย เช่น Good Morning/Good afternoon/Good evening
  • การพูดถึง สิ่งของที่มีหลายอย่างเป็นหมวดหมู่ เรามักขึ้นเสียงสูงทุกคำแล้วลงเสียงต่ำที่คำสุดท้าย เช่น I like to eat vegetables like carrot, tomato, and cabbage.

#6 ซับซ่อนกันในการออกเสียง –s, -es, -ed เมื่อออกเสียงภาษาอังกฤษ

ปัญหามีบทสนทนาที่มีการสื่อสารผิดพลาดเกิดจากสองสาเหตุหลัก ๆ คือฟังไม่รู้เรื่องและพูดออกเสียงผิดทำให้ความหมายของคำพูดเพี้ยนไป

แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกรณีนั้น ๆ ปัญหานี้เกิดจากการไม่ให้ความสำคัญในการออกเสียงให้ถูกต้อง และชาวไทยชอบออกเสียงผิด และซับซ้อนในการใช้งานระหว่าง การออกเสียง ed, s, es

  • หลักการใช้การออกเสียง ed มี 3 กรณี คือ–ed ออกเสียงเป็น /t/, –ed ออกเสียงเป็น id/ และ–ed ออกเสียงเป็น/d/

ed ออกเสียงเป็น /d/ เมื่อ ลงท้ายด้วยเสียงก้อง หรือเรียกได้ว่า Voiced Sound /b/, /g/,/h/, /j/, /l/, /m/, /n/, /r/, /v/, /w/, /y/, /z/ เช่นคำว่า grab, call , gain, jog

ed ออกเสียงเป็น /t/ ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง หรือเรียกได้ว่า “Voiceless Sound” คือ /c/, /k/, /p/, /s/, /x/ /f/, /tʃ/, /ʃ/ เช่นคำว่า walk, kiss

–ed  ออกเสียงเป็น /id/ ในกรณี ลงท้ายด้วย /t/ หรือ /d/ เช่นคำว่า end, add…

  • หลักการใช้การออกเสียง –s หรือ -es มี 3 กรณี คือคือออกเสียงเป็น /ɪz/ (หรือ /əz/) และ ออกเสียงเป็น /s/, ออกเสียงเป็น /z/ 

ออกเสียง s เป็น /s/ เมื่อคำกริยาเหล่านั้นลงท้ายด้วย /f/, /k/, /p/, /t/, /th/ 

ออกเสียง s เป็น /z/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง /b/, /d/, /g/, /l/, /m/, /n/, /ng/, /r/, /v/, /y/, /-the/ 

ออกเสียง s เป็นเสียงอิซ /iz/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /s/, /c/, /x/, /z/, /ss/, /ch/, /sh/, /ge/ 

การฝึกฝนเป็นประจำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศ
อยากพูดคล่อง พูดไวเราจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกทุกวันที่ละนิด

#7 ออกเสียงคำผสม (Compound Words) ผิด

ในภาษาอังกฤษมีหลายคำศัพท์ที่เรียกชื่อว่าคำผสม ที่หมายถึงคำศัพท์ที่การผสมระหว่างคำนามสองคำ การออกเสียง ให้ขึ้นเสียงสูงตรงกลาง แล้วลงต่ำตอนท้าย เช่น

  • คำว่า home (บ้าน) + work (งาน) แปลว่า การบ้าน (Homework) ขึ้นเสียงตรง home และลงต่ำตรง work
  • คำว่า  bed (เตียง) + room (ห้อง) แปลว่า ห้องนอน (Bedroom) ขึ้นเสียงตรง bed และลงต่ำตรง room
  • คำว่า fire (ไฟ) + fly (บิน) แปลว่า หิ่งห้อย (firefly) ขึ้นเสียงตรง fire และลงต่ำตรง fly
  • คำว่า English (ภาษาอังกฤษ) + teacher (ครู) แปลว่า ครูสอนภาษาอังกฤษ (Englishteacher) ขึ้นเสียงตรง English ลงตรง teacher
  • คำว่า green (สีเขียว) +house (บ้านเรือน)  แปลว่า บ้านที่เป็นเรือนกระจก (greenhouse) ขึ้นเสียงตรง green และลงต่ำตรง house ถ้าเราเขียนว่า green house (บ้านสีเขียว) ออกเสียงตามปกติ ไม่ต้องขึ้นลงเสียง

#8 ไม่หัดฟังให้มาก

คุณรู้ไไหมว่า ? ถ้าเราอยากพูดคล่องเราต้องฝึกฟังให้พอสมควรไปก่อน เพราะเมื่อเราฟังภาษาอังกฤษเยอะเราจะรู้ว่าศัพท์ไหนออกเสียงอย่างไรและอยากพูดตาม เลียนแบบตามวิธีนี้ได้ช่วยผู้เรียนภาษาอังกฤษหลาย ๆ คนพูดเก่งได้ภายในแค่สามเดือน

ไม่มีการเรียนที่ไหนถึงจะยากจนเรียนไม่ได้ สำคัญคือเราใช้เวลาและให้ความสำคัญให้มันมากเพียงพอหรือยังเท่านั้น

การเรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเรียนภาษาไทยเราชอบพูดตามคำที่ผู้ใหญ่สอน ออกเสียงตามนานๆ แล้วเราก็จะคุ้นเคย สามารถเข้าใจความหมายของศัพท์และเอามาประยุกต์ใช้ในกรณีที่เหมาะสมได้

สำหรับการฟังไม่ใช่เรานั่งวันละสองชั่วโมงเพื่อฝึกฟังบทความยาว ๆ ใด ๆ เพราะถ้าทำแบบนั้นจะได้แค่วันสองวันเราก็เหนื่อยและเบื่อ

ถ้าอยากฝึกเป็นทักษะและสามารถเรียนได้ทุกวันอย่างมีความสุขเราต้องหาวิธีการฟังให้สร้างสรรค์ เช่น ใช้เวลาเท่าไหร่ เลือกฟังเวลาไหนดี เลือกนั่งฟังที่ไหนดี หรือฟังเรื่องอะไร ความยาวอย่างไร ฟังแล้วจะเขียนบันทึกไว้ไหม หรือจะอ่านตามไหม หรือจะเลือกฟังเพลงไปด้วยไหม เป็นต้น

ซึ่งผู้เรียนจะเป็นคนที่เข้าใจที่สุดว่าวิธีการเรียนแบบไหนคือเหมาะกับตัวเอง จะช่วยฝึกตัวเองในการฟังได้ดีที่สุด ฟังได้ดีแล้ว รับรองว่าการฝึกทักษะการพูด การออกเสียงภาษาอังกฤษก็จะง่ายขึ้นตามมา

#9 มองข้ามความสำคัญของการออกเสียงภาษาอังกฤษ

ผู้เรียนบางคนมักจะผิดตั้งแต่การเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เพราะมองข้ามความสำคัญของการพูดและการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ

เพราะคิดว่ามีเพียงแค่คลังศัพท์เยอะและรู้แกรมมาก็เก่งแล้ว ใช้เป็นแล้ว เลยไม่ใช้เวลาเพียงพอสำหรับการฝึกออกเสียงให้พอสมควร

ผู้เรียนอาจจะใช้เวลามากสำหรับการฝึกเขียนแต่ยังไม่ใช้เวลาพอสำหรับการฟังโดยที่ทั้งสี่ทักษะมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะเมื่อเราอยากสื่อสารดี พูดไว ๆ เหมือนเจ้าของภาษาเรายิ่งต้องใช้เวลาให้มากขึ้นสำหรับทักษะการพูดและการฟัง

และต้องเน้นการออกเสียงตั้งแต่เริ่มต้นเพราะถ้าเรียนไปนาน ๆ แล้วปรับเสียงจะยากไปเพราะตอนนั้นลิ้นจะแข็ง เมื่อมีออกเสียงตอนนั้น ก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่

#10 อยากออกเสียงภาษาอังกฤษดีแต่ไม่เคยฝึกพูดออกมาดังๆ ?

ผิดแน่ ๆ ถ้าเราอยากออกเสียงภาษาอังกฤษ อยากสื่อสารเหมือนกันเจ้าของภาษาแต่แค่เป็นความคิดเท่านั้น ไม่ลงมือปฏิบัติจริงจัง บางคำที่คุ้นๆ เราคิดว่าเราพูดได้แน่นอนเลยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

ไม่จำเป็นที่ต้องฝึกคือผิดหลักเลย เพราะทุกอย่างก็แค่เป็นความคิดส่วนตัวของผู้เรียนเท่านั้น เราต้องฝึกอ่าน ออกเสียงมาแล้วบันทึกไว้หรือคุยกับเพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษเพื่อจะมีการปรับแก้ไขคำที่ยังออกเสียงผิด

ถ้าเราแค่คิดว่าเราเก่งแล้วไม่ต้องฝึกอะไรอีก รับรองว่าภาษาอังกฤษของเราจะไม่มีวันที่พัฒนาได้แน่นอน

คำไหนที่คุณไม่รู้ว่าจะอ่านออกเสียงยังไงคุณสามารถทักไปถามเพื่อน ๆ อาจารย์ หรือถ้าเรียนคนเดียวคุณยังสามารถค้นหาวิธีการออกเสียงในอินเทตอร์เน็ตได้ด้วย

สมัยนี้ไม่มีอะไรที่ค้นหาไม่ได้ แค่คุณมีใจกล้าทำ กล้าพูด และกล้าสงสัยหรือตั้งคำถาม คุณจะได้คำตอบที่คุณต้องการแน่นอน

นอกจากนั้น EngBreaking.co.th ก็ส่งแบบฝึกหัดออกเสียงภาษาอังกฤษให้ผู้เรียนลองฝึกที่บ้านเพื่อจะไม่เจอการพูดผิดถ้าเจอคำศัพท์ที่คนไทยมักจะออกเสียงกันผิดบ่อยดังนี้

ศัพท์ที่คนไทยออกเสียงผิดบ่อย การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ความหมายไทย
Asia /ˈeɪ.ʒə/ เอเชีย
Tuition /tʃuːˈɪʃ.ən/ การอบรม/ ค่าสอน
Comfortable /ˈkʌm.fə.tə.bəl/ สบาย
Vegetable  /ˈvedʒ.tə.bəl/ ผัก
Suite /swiːt/ ชุด
Suit /suːt/ สูท
Yoga /ˈjəʊ.ɡə/ โยคะ
 Error  /ˈer.ər/ ความผิดพลาด
 Fragile  /ˈfrædʒ.aɪl/ บอบบาง/ อ่อนแอ
Dove  /dʌv/ นกพิราบ
Sword  /sɔːd/ ดาบ
Receipt  /rɪˈsiːt/ ใบเสร็จรับเงิน
Debt  /det/ หนี้สิน
Science /ˈsaɪ.əns/ วิทยาศาสตร์
Scientist  /ˈsaɪən.tɪst/ นักวิทยาศาสตร์
Volume  /ˈvɒl.juːm/ ปริมาณ
Value   /ˈvæl.juː/ ความคุ้มค่า
Architect  /ˈɑː.kɪ.tekt/ สถาปนิก
Island  /ˈaɪ.lənd/ เกาะ
Iceland  /ˈaɪs.lənd/ ประเทศไอซ์แลนด์
 Syrup /ˈsɪr.əp/ น้ำเชื่อม
Lyrics  /ˈlɪr·ɪks/ เนื้อร้องของเพลง

ออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นกุญแจที่ช่วยผู้เรียนทุกคนพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของตัวเองให้ใกล้เคียงมากขึ้นกับเจ้าของภาษา มองให้เห็นความสำคัญของการฝึกออกเสียงและขยันฝึกฝน

และรู้ว่าความพลาดในการออกเสียงคืออะไรเพื่อจะเป็นประสบการณ์ที่ดีให้ตัวเองหลีกเลี่ยงความผิดที่จะเกิดขึ้น ประหยัดเวลาสำหรับการเรียนรู้แต่ผลการเรียนออกมายังยอดเยี่ยม

นี่เป็นการเรียนรู้แบบชาญฉลาด และก็เป็นหนึ่งในหลายวิธีการเรียน เคล็ดลับดี ๆ ที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนของเราเรียนรู้ภาษาอังกฤษดีมากยี่งขึ้น เป็นสิ่งที่เว็บไซต์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษอยาก EngBreaking.co.th ฝากถึงคุณ และเราก็เชื่อว่าคุณทำได้อย่างแน่นอน

เผยเคล็คลับในการฝึกพูดภาษาอังกฤษเบื้องต้นดีที่สุดปี 2020 >> ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

2 thoughts on “10 ข้อผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ควรหลีกเลี่ยง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *