ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – การสื่อสารเปรียบเสมือนการสนทนามีคำถาม-คำตอบ โต้ตอบกันอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาที่เราสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ เราอาจจะตกอยู่ในสถาการณ์ที่ไม่สามารถต่อบทการสนทนาได้ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามได้อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วประโยคคำถามเป็นเพียงประโยคง่าย ๆ แต่บางครั้งเราก็เผลอหลงลืมมัมไป หรือส่วนมากเรามักจะได้เจออยู่แค่ไม่กี่ประโยค พอเจอประโยคใหม่ ๆ ก็เกิดอาการตกใจจนไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรก็มี วันนี้เราได้รวบรวมประโยคคำถามในภาษาอังกฤษว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจและตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง
รูปแบบของประโยคคำถามนั้น มีได้หลายรูปแบบ ซึ่งประโยคคำถาม เป็นประโยคที่เราใช้ถามในสิ่งที่เราอยากรู้ โดยในภาษาอังกฤษประโยคคำถามจะถูกแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1. Yes-No question
2. Wh-question
3. Question tag
1. ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ _ Yes/No question
Yes/No Question เป็นประโยคคำถามที่ใช้ในการถามคำถาม ที่ต้องการคำตอบ Yes หรือ No (ใช่หรือไม่ใช่) ซึ่งเรามักพบได้บ่อยและมีประโยชน์มากในการสนทนาในชีวิตประจำวัน ประโยคคำถามรูปแบบนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาไทย ก็คือคำถามที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ใช่ไหม เป็นต้น โดยทั่วไปแยกย่อยออกเป็น 3 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
1.1. ประโยคขึ้นต้นคำถามด้วย Verb to be
เราจะมีโครงสร้างประโยค:
ประโยคบอกเล่า: S (Subject) + to be ( am/is/are/was/were) + N (Noun)/ ADJ (Adjective)/ Prep (Preposition) …
=> ประโยคคำถาม: To be + S + N/ADJ/Prep…?
ตัวอย่างคำถาม
- ประโยคบอกเล่า : This man is handsome.
=> ประโยคคำถาม : Is this man handsome ? (แปลว่า: ผู้ชายคนนี้หล่อไหม?) - ประโยคบอกเล่า : They are your friends.
=> ประโยคคำถาม : Are they your friends? ( แปลว่า : พวกเขาเป็นเพื่อนของคุณหรือเปล่า) - ประโยคบอกเล่า : Your house is far from here.
=> ประโยคคำถาม : Is your house far from here? (แปลว่า : บ้านของคุณอยู่ไกลหรือเปล่า)
ข้อสังเกต
– การขึ้นต้นคำถามด้วย Verb to be จะเปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าทั่วไปที่มี Verb to be อยู่ในประโยคนั้น ๆ
– ประโยคภาษาอังกฤษเหล่านี้ถ้าพูดเป็นประโยคบอกเล่า Verb to be จะอยู่หลังประธาน
– การออกเสียงมักจะลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง
1.2. ประโยคขึ้นต้นคำถามด้วย Verb to do
เราจะมีโครงสร้างประโยค:
ประโยคบอกเล่า: S (Subject) + V (Verb) + O (Objective)
=> ประโยคคำถาม: Verb to do (Do/Does/Did/Have…) + S (Subject) + V (Verb) + O (Objective)?
ตัวอย่างคำถาม
- ประโยคบอกเล่า : You need my help.
=> ประโยคคำถาม : Do you need my help ? (แปลว่า คุณต้องการให้ผมช่วยเหลือไหม ?) - ประโยคบอกเล่า : She gets up early.
=> ประโยคคำถาม : Does she get up early ? (แปลว่า เธอเป็นคนตื่นเช้าไหม ? - ประโยคบอกเล่า : He comes late.
=> ประโยคคำถาม : Does he come late ? (ตัด S ที่กริยาแท้ออกด้วย) (แปลว่า เขามาสายไหม?)
ข้อสังเกต
– การขึ้นต้นคำถามด้วย Do หรือ Does คือการตั้งประโยคคำถามโดยการเปลี่ยนมาจากประโยคบอกเล่าที่ไม่มีตัวช่วยอื่น ๆ อยู่ในประโยคนั้น ๆ
– Do เป็น Verb ช่วย ที่จะใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์เช่น I, You, We, They
– Does เป็น Verb ช่วยที่จะใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์ เช่น He, She, It, และเมื่อ Does มานำหน้าประโยคคำถามกริยาแท้จะต้องตัด S ออกด้วย
– การออกเสียงมักจะลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง
1.3. ประโยคขึ้นต้นคำถามด้วยกริยาช่วยตัวอื่น ๆ (Can, May, Will, Could)
เราจะมีโครงสร้างประโยค:
ประโยคบอกเล่า: S (Subject) + กริยาช่วย + V (Verb) + O (Objective)
=> ประโยคคำถาม: กริยาช่วย + S (Subject) + V (Verb) + O (Objective)?
ตัวอย่างคำถาม
- ประโยคคำถาม : Can you help me, please ? (แปลว่า คุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ ?)
- ประโยคคำถาม : May I talk with Ploy, please ? (แปลว่า ขอพูดกับคุณพลอยหน่อยนะครับ ?)
- ประโยคคำถาม : Will you come back ? (แปลว่า คุณจะกลับมาไหมครับ ?)
- ประโยคคำถาม : Could you please tell me your name ? (แปลว่า คุณช่วยกรุณาบอกชื่อของคุณหน่อยได้ไหมครับ ?)
ข้อสังเกต
– ในกรณีที่ประโยคมีกริยาช่วย เช่น Can, May, Will, Could เป็นต้น เราจะเอากริยาช่วยเหล่านี้ มาวางไว้หน้าประโยค เราจะนำกริยาช่วย มาวางไว้หน้าประธาน จากนั้นจึงเรียงประโยคไปตามปกติ
– การออกเสียงมักจะลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง
2. ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ _ Wh – question
Wh – question คือ ประโยคคำถาม ที่ไม่ต้องการคำตอบว่า Yes หรือ No แต่ต้องการเป็นรายละเอียด เวลาออกเสียง ท้ายประโยคไม่ต้องออกเสียงที่สูงขึ้น
Wh-Question จะประกอบด้วย Question Words หมายถึง คำที่ใช้ขึ้นต้นประโยค เพื่อทำให้ประโยคนั้นเป็นคำถาม ซึ่งต้องการให้ผู้ตอบได้ตอบโดยใช้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริง ประโยคคำถามส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย ” W ” และ ” H ” คำที่ใช้ในการตั้งคำถามมีอยู่หลายคำ เช่น who, whom, whose, which, what, when, where, why, how long, how often, how many, how much, how far, ให้จำไว้ว่า Question Word เหล่านี้ ไม่ได้ ตอบว่า yes หรือ no
คําถามชนิดนี้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำที่เป็นคําถาม (question words) แล้วตามด้วยกริยา ซึ่งมีหลักการใช้เช่นเดียวกับคําถาม yes/no ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยกเว้นคําถามที่ใช้เป็นประธาน (subject) และส่วนสมบูรณ์ (complement) คําถามต่าง ๆ มีดังนี้
Wh- Questions | ความหมาย |
Who | ใคร |
Whom | ใคร |
Whose | ของใคร |
What | อะไร |
Which | อันไหน คนไหน |
Why | ทําไม |
Where | ที่ไหน |
When | เมื่อไร |
How | อย่างไร |
คําเหลานี้ใช้ถามโดยที่ผู้ถามไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่อยากจะได้คําตอบมาแทนคํานั้น ๆ ที่ใช้ถาม
ลักษณะโครงสร้างสําคัญของคําถามชนิดนี้ก็คือ การวางคําเหล่านี้ไว้ต้นประโยค
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดเป็นลําดับไป
*** ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – Who: ใคร
โครงสร้างของประโยค | Who + verb + object ? |
ตัวอย่างคำถาม | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : Who is your teacher ? | B : Mrs. Wanpen is my teacher. |
A : Who is doing the cooking ? | B : My mother is doing the cooking. |
A : Who are these boys ? | B : Boonchu and Kasem. |
A : Who sings this song ? | B : Nara sings this song. |
*** ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – What: อะไร
โครงสร้างประโยคคำถาม ที่ 1 ใช้ What ถามถึงอาชีพต่าง ๆ
โครงสร้างประโยคคำถาม | 1. What + (is/are) + subject ? 2. What + (do/does) + subject+ do ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What is your father ? | B : He is a farmer. |
A : What are you ? | B : I am a student. |
A : What is Ms.Paweena ? | B : She is a English teacher. |
A : What does Manop do ? | B : He is a policeman. |
ใช้ What ถามชื่อบุคคล
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + (is/are) + (your/his/her) + name ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What is your name ? | B : My name is Paweena. |
A : What is his name ? | B : His name is Manop. |
A : What are their names ? | B : Their names are Pee and Dee. |
ใช้ What ในการถามถึงสัญชาติ
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + (is/are) + (your/his/her/their) + nationality ? |
ตัวอย่าง | |
A : What is your nationality ? | B : I am Thai. |
A : What is his nationality ? | B : He is Thai. |
A : What is her nationality ? | B : She is Thai. |
A : What is their nationality ? | B : They are Japanese. |
ใช้ What ถามเกี่ยวกับสิ่งของ
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + (is/are) + (this/that/those/these) ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What is this ? | B : It is my pen. |
A : What is that ? | B : It is a book. |
A : What are these ? | B : They are new computers. |
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ: ใช้ What ถามเกี่ยวกับเวลา
โครงสร้างประโยคคำถาม | 1. What + time + is + it ? 2. What + is + the time ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What time is it ? | B : It is seven o’clock. |
A : What is the time ? | B : It is ten – five. |
ใช้ What ถามเกี่ยวกับสิ่งของที่ชอบ
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + noun(s) + (do/does) + subject + verb ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What colour do you like ? | B : I like red. |
A : What Thai food does Jim like ? | B : He likes Tom Yum Koong. |
A : What is your favourite fruit ? | B : I like bananas. |
ใช้ What ถามที่อยู่ ถาม email
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + is + (your/his/her) + (address/ e-mail address ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What is your address ? | B : It is 10 Sukhumvit Road, Bangkok. |
A : What is Malee’s address? | B : It is 10 Moo 4, Tambol Naimuang, Amphoe Muang, Surin (32000). |
A : What is your email address ? | B : It is [email protected] |
ใช้ What ถามหมายเลขโทรศัพท์
โครงสร้างประโยคคำถาม | What + is + (your/his/her) + telephone number ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What is your telephone number ? | B : It is 044-512282. |
A : What is his telephone number ? | B : It is 088-0981256. |
ใช้ What ถามวัน วันที่ เดือน
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : What day is today ? | B : It is Sunday. |
A : What day is it ? | B : It is Wednesday. |
A : What is the date ? | B : It is 18th July. |
A : What is the date today ? | B : It is 18th July. |
*** ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – Where ที่ไหน
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – โครงสร้างที่ 1
โครงสร้างประโยคคำถาม | 1. Where + (is/are/am) + subject ? 2. Where + do/does + subject + verb ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : Where is Muang Surin School ? | B : It is in Surin. |
A : Where are the students ? | B : They are in the classroom. |
A : Where are you going ? | B : I’m going to school. |
A : Where do you live ? | B : I live in Thailand. |
*** When เมื่อไร
โครงสร้างประโยคคำถาม | When + (กริยาช่วย) + subject + กริยาอื่น.? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : When is your birthday ? | B : It is in July. B : It is in Summer. B : It is on 21st July. |
A : When is the meeting ? | B : It is on Monday morning. |
A : When are you coming here ? | B : I am coming here next month. |
A : When do they go to school ? | B : They go to school at 6.30. |
*** ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – Why ทำไม
โครงสร้างประโยคคำถาม | 1. Why + (is/are) + noun/pronoun + adjective ? 2. Why + do/does + subject + verb + object ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : Why are you late ? | B : I am late because the traffic is very heavy. |
A : Why is he sad ? | B : He is sad because his mother is sick. |
A : Why do you like Lisa ? | B : I like her because she is beautiful. |
A : Why did you go to the bookshop ? | B : I went there to buy a book. |
*** ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – How อย่างไร
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – ใช้ How ถามเกี่ยวกับวิธีการ
โครงสร้างประโยคคำถาม | How + do/does + subject + verb ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : How do you go to school ? | B : I go to school by bus/on foot. |
A : How does Tata Young sing ? | B : She sings beautifully. |
A : How do Jim and Jane run ? | B : They run slowly. |
ใช้ How ตามด้วยคำ adjective ใช้ถามอายุ ความสูง น้ำหนัก ความยาว ระยะทาง
โครงสร้างประโยคคำถาม | How + adjective + verb to be + subject ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
ถามอายุ A : How old are you? A : How old is Jim? A : How old are those babies? | B : I am 18 years old. B : He is 18 years old. B : They are 7 months old. |
ความสูง A : How tall are you? A : How tall is your mother? | B : I am 1 m and 60 cm. tall. B : She is 156 cm. |
น้ำหนัก A : How heavy is Suchada ?A : How heavy are you ? | B : She is 70 kilos. B : I am 45 kilos. |
ความยาว A : How long is a ruler ? | B : It is 12 inches long. |
ระยะทาง A : How far is it from here to Suchai ? | B : It is about 24 km. |
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – ใช้ How ถามเกี่ยวกับสุขภาพ
โครงสร้างประโยคคำถาม | How + is/are + subject ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : How are you ? | B : I am very well. |
A : How is your wife ? | B : She is fine. |
A: How have you been? | B : I’m so so |
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ – How ใช้กับ many เพื่อถามว่าบุคคลนั้นมีสมาชิก มีสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของต่าง ๆ มีจำนวนเท่าใด
โครงสร้างประโยคคำถาม | How many + nouns + do/does + subject + verb ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : How many sisters do you have ? | B : I have one sister. |
A : How many apples does your mom buy? | B : She buys four apples. |
How ใช้กับ many เพื่อถามจำนวนคน สิ่งของ หรือสัตว์ว่ามีจำนวนเท่าใด
โครงสร้างประโยคคำถาม | How many nouns + are there + complement ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : How many students are there in this class ? | B : There are 34 students. |
A : How many people are there in your family ? | B : There are 9 in my family. |
How ใช้กับ much เพื่อถามจำนวนสิ่งของที่นับไม่ได้
โครงสร้างประโยคคำถาม | How much + uncountable noun + do/does + subject + verb ? |
ตัวอย่าง | |
โครงสร้างประโยคคำถาม | โครงสร้างประโยคคำตอบ |
A : How much coffee do you drink a day ? | B : I drink only one cup a day. |
A : How much money does she have ? | B : She has a lot of money. |
3. ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ _ Tag Question
มีประโยคชนิดหนึ่งที่มีส่วนท้ายหรือส่วนหางเป็นรูปคำถาม เรียกว่า Tag question หรือ Question tag คำถามประเภทนี้จึงประกอบด้วยประโยคสองส่วน คือส่วนต้นเป็นประโยคธรรมดา ส่วนท้ายเป็นประโยคคำถาม ซึ่งเป็นรูปคำถามแบบ Yes/No Question คำถามชนิดนี้นิยมใช้ในการพูดคุยสนทนา โดยเฉพาะในการใช้ประโยคยาวๆ จะทำให้ไม่สับสน อาจกล่าวได้ว่า คำถามชนิดนี้เป็นการแสดงความรู้สึกหรือความเข้าใจของตนเองก่อนแล้วจึงขมวดเป็นการถามทีหลัง ว่าเป็นอย่างที่พูดมาข้างต้นหรือเปล่า ลักษณะสำคัญของ โครงสร้างคำถามชนิดนี้ก็คือ ท่อนต้นเป็นประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ ท่อนหลังเป็นคำถามแบบ Yes/No Question แต่ใช้สรรพนาม (pronoun) ของประธานในท่อนต้นมาเป็นประธานในท่อนคำถาม หลักการสร้างประโยค Question tag จะมีดังต่อไปนี้
- ถ้าประโยคที่มาข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่า ต้องใช้ question tag เป็นรูปปฏิเสธ
– You eat a lot of oranges, don’t you?
– You will have the exam next month, won’t you?
– She came here yesterday , didn’t she?
- ถ้าประโยคที่มาข้างหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ ต้องใช้ question tag เป็นรูปบอกเล่า
– She doesn’t want to disturb you, does she?
– They haven’t turned it off, have they?
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ
- ถ้าประโยคข้างหน้ามี verb to have
(a) เมื่อ have แปลว่า “มี” จะใช้ tag ว่า haven’t หรือ don’t ก็ได้
– She has a lot of teddy bears, hasn’t she?
– Sam and Smith have only one child, don’t they? (แบบ American)
(b) เมื่อ have แปลอย่างอื่น ที่ไม่ได้แปลว่า “มี” ให้ใช้ verb to do มาช่วย
– We have breakfast at six o’clock, don’t we?
– I had his letter last week, didn’t I?
_ John had his hair cut by the best hairstylist in town, didn’t he?
(c) question tag ของ “have to” (=จำเป็นต้อง) ใช้ verb to do มาช่วย
– You often have to go to the dentist’s, don’t you?
- ในประโยค tag ที่เป็นรูปปฏิเสธ ต้องใช้ รูปย่อเสมอ
– We shall go skiing, shan’t we?
– He will come to my birthday party, won’t he?
- Question tag ของ I am คือ aren’t I (เนื่องจาก am not ไม่มีรูปย่อ)
– I am late for school for 30 minutes, aren’t I ?
- Question tag ของกริยาช่วย can, could, may, might, will, shall, ought to, should, V. be, etc. จะใช้กริยาช่วยเหล่านี้เป็น question tag ได้
– She can speak English it well, can’t she?
– You ought to study hard, oughtn’t you?
ประโยคคําถามภาษาอังกฤษ
- คำว่า “need” (ต้องการ) และ “dare” (กล้า) มีวิธีใช้ 2 แบบ คือ
(a) ใช้เป็นกริยาแท้ tag ก็จะใช้ verb to do มาช่วย
– He needs to go there alone, doesn’t he?
– She does not need any help, does she?
– We don’t dare to tell a lie, do we?
(ข้อสังเกต ถ้า “need” “dare” ใช้เป็นกริยาแท้ จะตามหลังด้วย to +V1 โดยที่กริยา need / dare สามารถผันตามประธานได้ หรืออาจตามด้วย noun ก็ได้ )
(b) ใช้เป็นกริยาช่วย tag จะใช้ need / dare เป็นกริยาช่วยใน tag
– She needn’t come on Sunday, need she?
– You dare not go out alone at night, dare you?
( ข้อสังเกต ถ้า need / dare เป็นกริยาช่วย จะตามหลังด้วย V1 )
- question tag ของ used to (เคย) คือ didn’t หรือ usedn’t ( เก่ามากหรือล้าสมัย )
– She used to be his secretary, didn’t she (usedn’t she)?
- ประธานที่ใช้ใน tag ต้องเป็น pronoun เสมอ
– Vinai went to Chiang Mai yesterday, didn’t he?
– The children are playing in the garden, aren’t they?
- tag ของ would like (=ต้องการ) ใช้ wouldn’t
– We’d like to go now, wouldn’t we?
- tag ของ would rather (= อยากจะ) ใช้ wouldn’t
– You’d rather stay at home, wouldn’t you?
– We would rather not go there, would we?
- tag ของ had better ใช้ hadn’t
– You’d better finish your homework , hadn’t you?
– She had better not go out alone, had she?
ยังมีต่อ…
- ประโยคคำสั่ง หรือ ขอร้อง (Imperative, order, request) จะกลายเป็นประโยคสุภาพ ด้วยการเติม question tag ว่า will you หรือ won’t you?
– Open your book, will you?
– Stop talking, will you?
– Go out, will you?
หากต้องการแสดงคำขอให้ใช้ “will“:
– Take these things away, will you?
– Let us go to the movies, will you?
หากต้องการแสดงคำเชิญให้ใช้ “won’t“:
– Drink some juice, won’t you?
– Take a seat, won’t you?
- ถ้าประโยคข้างหน้ามีประธานเป็น There is , There are , There was, There were (=มี) question tag ใช้ verb to be นั้น ๆ + there
– There is a purse in my bag, isn’t there?
– ตัวอย่าง: There are many flowers in the garden, aren’t there?
– There was an accident last night, wasn’t there?
- Question Tag ของ That is.., This is คือ isn’t it ? หรือ is it?
– This is my book, isn’t it?
– That is not your bag, is it?
- Question Tag ของ These are, Those are ใช้ aren’t they? หรือ are they?
– These are your exercise books, aren’t they?
– Those are not our balls, are they?
และ…
- คำต่อไปนี้คือ few, little, never, rarely, scarcely, hardly, seldom, neither, none, no one, nobody, nothing มีความหมายกึ่งปฏิเสธและปฏิเสธ เพราะฉะนั้น tag จะเป็นการบอกเล่า
– Few students knew the answers to this question, did they?
– Little progress has gradually been made, has it?
– He never comes to the office early, does he?
– That vacancy is hardly suitable for Chatichai, is it?
– We have seldom seen such large watermelons, have we?
– I scarcely know who he is, do I?
– Nothing was done on time, was it?
– We saw no one we knew in that ceremony, did we?
– None of the boys liked that song, did they?
– You rarely go to the cinema to enjoy a film alone, do you?
- ประโยคที่ใช้ประธาน one ใน tag จะใช้ one เช่น
– One wants to be rich, doesn’t one?
- ถ้าประธานเป็น everyone, everybody, everything, no one, nobody, anybody, neither ในส่วน tag ให้ใช้ they เช่น
– Everyone likes eating ice cream, don’t they?
– Nobody knows the answer to this exercise, do they?
– Neither of the boys complained about that noise, did they?
– None of the workmen arrived at the work site on time, did they?
- ถ้าเป็นประโยคซับซ้อน ให้ใช้กริยาใน main clause เป็นหลัก ยกเว้น ถ้าใน main clause หมายถึง ตัวเองหรือบุรุษที่ 1 เช่น
– He said he would come to my graduation day, did he?
– If he said it under oath , it must be true, mustn’t it?
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับบทความที่ผมได้รวบรวมประโยคคำถามและหลักการจำง่าย ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เห็นไหมครับว่าภาษาอังกฤษนั้นไม่ยากอย่างที่คิด และอย่าลืมติดตาม Eng Breaking เพื่อติดตามข่าวสาร สาระความรู้และเคล็ดลับดี ๆ ที่ช่วยในการฝึกฝนและเรียนรู้ภาษาอังกฤษกันด้วยนะครับ ผมเชื่อเลยนะครับว่าคนที่จะสำเร็จคนต่อไปต้องเป็นคุณแน่นอน
ไม่พลาดกับบทความนี้:
- คำถามสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษยอดฮิต พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
- การใช้ประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentences) ฉบับอธิบายเข้าใจง่ายๆ กระจ่างสุด
- ใช้ Possessive adjective / Possessive pronoun ง่ายนิดเดียว
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .