สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง ชนิดของคํา ในบทความนี้ English Breaking ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้แล้ว ตอบโจทย์ทุกข้อสงสัย ชนิดของคําไหนที่มักจะใช้บ่อยที่สุด หลักการใช้งานอย่างไร ตัวอย่างประโยคชัดเจน… ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลยดีกว่า
Parts of Speech ชนิดของคำในภาษาอังกฤษเป็นส่วนไวยากรณ์ที่มักจะเจอบ่อยมาก เจอในทุกประโยคใยภาษาอังกฤษ เจอในข้อสอบต่างๆ และในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเราไม่ควรพลาดความรู้เกี่ยวกับส่วนเนื้อหานี้นะคะ
เมื่อพูดเกี่ยวกับ Parts of Speech ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ หลักๆ จะมี ห้าชนิตที่เจอบ่อยที่สุดคือ: .คำนาม (Noun), คำกริยา (Verb), คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb), คำบุพบท (Preposition), คำอุทาน (Interjection).
นอกจากนั้นยังมีสองถึงสามชนิตของคำที่เราควรเรียนรู้เผื่อเจอจะรู้วิธีการใช้งาน และต้องบอกตรงๆ ว่าแต่ละชนิตคำจะมีหน้ามี่บทบาทต่างหาก บ้างที่ทำให้ผู้เรียนเรียนแล้วสับสนด้วย
ดังนั้นเรียนถึงไหนเราต้องรู้วิธีเพื่อจดจำให้แม่นยำก่อน แล้วพยายามตั้งประโยค์หรือสร้างเป็ยบทสทนาจะช่วยการเรียนรู้ชนิดของคำในภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องง่ายดายแน่นอน
A – คำนาม (Noun)
คำนาม (Noun) คืออะไร?
Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ แทนชื่อคน (Person), สัตว์ (Animal), สิ่งของ (Thing), สถานที่ (Place), ความคิด (Idea) คำนามทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน กรรม และส่วนเติมเต็มในประโยค
เช่น
Person: Mark, Teacher, Boy, Girl
Animal: Dog, Cat, Lion, Elephant
Thing: Pen, Car, Book, Shirt, Music
Place: Hospital, School, Office, Restaurant
Idea: Love, Democracy, Strength, Encourage
Ex.1: Mark is very strong. มาร์กแข็งแรงมาก
Ex.2: I ate pork last night. ฉันกินเนื้อหมูเมื่อคืนนี้
Ex.3: We live in Bangkok. พวกเราอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
การใช้ noun ในประโยค
การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ
ประเภคขอบคำนาม | Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) | Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object) | Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement) | Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ |
ลักษณะของคำนาม | Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค | กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb | ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น | Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun) |
ตัวอย่างเช่น | Tim lives in Bangkok. ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ |
I play with my cat every day. ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน |
Anne is a writer. แอนเป็นนักเขียน |
My friend, Joe, lives in the same town with me. เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน (คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน) |
จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆ นะคะ
B – คำกริยา (Verb)
คือ คำหรือกลุ่มคำที่บรรยาย การกระทำ สถานะ หรือประสบการณ์ เป็นคำที่บอกให้รู้ว่าประธานของประโยค ทำอะไร หรือมีสถานะเป็นอย่างไรนั่นเอง หรือเข้าใจง่ายๆ คือคำที่แสดงอาการหรือการกระทำในประโยค เช่น Play, Sing, Be, Have, Do, Can, Must
Ex.1: I have a lot of work. It makes me tired. ฉันมีงานมากมายเลย มันทำให้ฉันเหนื่อย
Ex.2: My mother is a teacher. แม่ของฉันเป็นครู
Verb มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท
การแบ่งประเภทของ Verb ขึ้นอยู่กับว่า จะแบ่งกันอย่างไรนะครับ ไม่กำหนดหลักเกณฑ์ตายตัวแน่นอน
1. สกรรมกริยา (Transitive Verb) และ อกรรมกริยา (Intransitive Verb)
You like a cat. คุณชอบแมว (แมวเป็นกรรมของประโยค)
We walk. พวกเราเดิน
2. กริยาแท้ (Main Verb) และ กริยาช่วย (Helping Verb)
I walk to school.
ฉันเดินไปโรงเรียน ( walk เป็นกริยาแท้)
I am walking to school.
ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน ( am เป็นกริยาช่วย ส่วน walk เติม ing เป็นกริยาแท้)
3. กริยาปกติ (Regular Verb) และ กริยาอปกติ (Irregular Verb)
หลักการใช้ Verb ใช้ยังไง
หลักการใช้ verb จะว่าไปแล้วมันก็คือ Verb Tense หรือ Tense 12 นั่นแหละครับ คำกริยาคำเดียวเดียวกัน สามารถสื่อความได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
I eat. ฉันกิน
I am eating. ฉันกำลังกิน
I have eaten.ฉันกินเสร็จแล้ว
I ate. ฉันกินมาแล้ว
I will eat. ฉันจะกิน
C – คำคุณศัพท์ (Adjective)
คำคุณศัพท์ หรือ adjective อ่านว่า “แอ็ดเจ็คทิฝ” ตัวย่อคือ adj เป็นคำชนิดหนึ่งใน Part of speech ทั้ง 8 ชนิด
คำคุณศัพท์ (Adjective) คือ คำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม โดยตำแหน่งจะอยู่หน้านามเสมอ หรือตามหลัง Verb to be และ Linking Verb เช่น Big, Small, Fast, Green, Red
หน้าที่ของคำคุณศัพท์
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าคําคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยก็ดี จะทำหน้าที่ขยายคำนาม คือ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เพื่อบอกให้รูว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร เช่น สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็นต้น ซึ่งเป็นการอธิบายขยายความเพิ่มเติมเพื่อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นนั่นเอง เช่น
Ex.1: I like big dogs. ฉันชอบหมาตัวใหญ่
Ex.2: The cat is black and white. แมว มีสีดำและขาว
Ex.3: The flower smells good. ดอกไม้ กลิ่นหอม
ตำแหน่งของคำคุณศัพท์
ทีนี้เราจะมาพูดถึงตำแหน่งของคํา adjective กันบ้าง ตำแหน่งของ adjective จะวางอยู่ 3 ตำแหน่งหลักๆดังนี้
หน้าคำนาม
The black dog is running. หมา สีดำ กำลังวิ่ง
She likes the pink dress. หล่อน ชอบ ชุด สีชมพู
หลัง Verb to be
It will be good for you. มัน จ ะดี สำหรับ คุณ
The girl is lovely. เด็กหญิง น่ารัก
หลัง Linking verb
You look good today. วันนี้ คุณ ดู ดี
My dream came true. ฝัน ของฉัน กลายเป็น จริง
D – คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)
คือคำที่ทำหน้าที่ขยายกริยา, คุณศัพท์, หรือขยาย Adverbs ด้วยกันก็ได้
คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือ คำที่มีหน้าที่ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เช่น Very, Badly, Quickly, Well.
Ex.1: Nui speaks English very well. นุ้ยพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก
Ex.2 : He looked at me suspiciously. เขาจ้องมองฉันอย่างหวาดระแวง
หลักการใช้ Adverbs
– ถ้าขยายกริยา ให้เรียงไว้หลังกริยา เช่น The old man walk slowly.
– ถ้าขยายคุณศัพท์ ให้เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ เช่น Dang is very strong.
– ถ้าขยาย Adverbs ให้เรียงไว้หน้า Adverbs เช่น The train runs very fast.
Adverbs แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ๆได้ 3 หมวด คือ: Simple Adverbs, Interrogative Adverbs, Conjunctive Adverbs.
- Simple Adverbs: กริยาวิเศษณ์สามัญ ใช้ขยายกริยาธรรมดานี่เอง
Adverbs of time | กริยาวิเศษณ์บอกเวลา ได้แก่คำว่า now, ago, yesterday, … |
Adverbs of place | กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ ได้แก่คำว่า near, far, in, out, … |
Adverbs of frequency | กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ ได้แก่คำว่า always, often, again, usually. |
Adverbs of Manner | กริยาวิเศษณ์บอกอาการ ได้แก่คำว่า well, slowly, quickly, fast.. |
Adverbs of Quantity | กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากน้อย ได้แก่คำว่า Many, much, very, too, quite… |
Adverbs of affirmation or negation | กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำว่า yes, no, not, not at all… |
- Interrogative Adverbs: กริยาวิเศษณ์คำถาม ใช้ขยายกริยาเพื่อให้เป็นคำถาม (ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอ)
บอกเวลา | ได้แก่คำว่า When (เมื่อไร), How long (นานเท่าไร). |
บอกสถานที่ | ได้แก่คำว่า Where (ที่ไหน). |
บอกจำนวน | ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไร), How often (กี่ครั้ง).. |
บอกกริยาอาการ | อาการ ได้แก่คำว่า How (อย่างไร) (ใช้กับ do) |
บอกปริมาณ | ได้แก่คำว่า How much (มากเท่าไร) |
บอกเหตุผล | ได้แก่คำว่า Why (ทำไม) |
- Conjunctive Adverbs: กริยาวิเศษณ์สันธาน ใช้เชื่อมประโยคหน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน
Why |
Where |
When |
How |
Whenever |
Wherever |
While |
E – คำบุพบท (Preposition)
คำบุพบท Preposition หรือคำบุพบท คือ คำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม หรือเชื่อมคำนามกับ วลี/ประโยค ซึ่ง Preposition ที่สำคัญและพบกันอยู่เสมอ
ได้แก่ on (บน), Toward (ไปยัง), Form (จาก), In (ใน), After (หลังจาก), Among (ระหว่าง), At (ที่), Before (ก่อน), Behind (ข้างหลัง), Of (ของ), Into (เข้าไปข้างใน), Between (ระหว่าง), Under (ข้างใต้), Out of (ออกจาก), Outside (ข้างนอก), During/While (ระหว่าง), Over (เหนือ, บน), For (สำหรับ), against (ชิด, ติด), along (ไปตาม), without (ปราศจาก), Until (จนกระทั่ง)
Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
Preposition คำเดียว [Single Preposition]
Preposition In At On During Between Among Over Above By
Ex.1: I will arrive at Suvarnabhumi Airport at 5 am.
(ฉันจะมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตอนตีห้า)
Ex.2: He complains about not feeling appreciated at work.
(เขาบ่นเกี่ยวกับความรู้สึกไม่พอใจที่ทำงาน)
Ex.3: Mark argued with the taxi driver about the fare.
(มาร์กเถียงกับคนขับแท็กซี่เกี่ยวกับค่าโดยสาร)
Preposition วลี [Preposition phrase]
บุรพบทวลีชนิด 2 ตัว [two words Preposition]
according to ตาม, instead of แทน, แทนที่ because of เพราะว่า, owing to เนื่องจาก.
บุรพบทวลีชนิด 3 ตัว [three words Preposition]
in order to: เพื่อที่จะ, by means of: โดยอาศัย, on account of: เนื่องจาก, in spite of: ถึงแม้ว่า, in front of: ข้างหน้า, in back of: ข้างหลัง, for the sake of: เพื่อเห็นแก่, of the point of: เกือบจะ, on the point of: เกือบจะ, in consequence of: เนื่องจากว่า
F – คำสรรพนาม (Pronoun)
คำสรรพนาม (Pronoun) คือ คำที่ใช้แทนคำนาม เพื่อไม่ต้องพูดนามนั้นซ้ำ ทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น I, You, He, She, It, They, We, His, Her, Some.
Ex.1: Mark is very strong. He can lift the heavy box. มาร์กแข็งแรงมาก เขาสามารถยกกล่องหนัก ๆ ได้
Ex. 2: The professor advised me to go to the library. ศาตราจารย์แนะนำให้ฉันไปห้องสมุด
คำสรรพนาม (pronouns) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ:
- Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม) เช่น I, you, we, he, she, it, they.
เช่น I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me. ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้ (He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I ในประโยคที่หนึ่ง)
- Possessive Pronoun (สรรพนามเจ้าของ) เช่น mine, yours, his, hers, its, theirs, ours.
เช่น The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
- Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง) เป็นคำที่มี – self ลงท้าย เช่น myself, yourself, ourselves.
เช่น She herself doesn’t think she’ll get the job.
- Definite Pronoun (หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง) เช่น this, that, these, those, one, such, the same.
เช่น Such is my belief. นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
- Indefinite Pronoun (สรรพนามไม่เจาะจง) เช่น all, some, any, somebody, something, someone
เช่น Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
- Interrogative Pronoun (สรรพนามคำถาม) เช่น Who, Which, What
เช่น
Who called last night? เมื่อคืนใครโทรมา
Which is mine? อันไหนคือของฉัน
What is this? สิ่งนี้คืออะไร
- Relative pronoun (สรรพนามเชื่อมความ) เช่น who, which, that
เช่น What did she say? เธอพูดว่าอะไรนะ? (what เป็นกรรมของกริยา say)
G – คำเชื่อม (Conjunction)
คำเชื่อม (Conjunction) คือ คำที่ใช้เชื่อมคำกับคำ กลุ่มคำกับกลุ่มคำ หรือประโยคกับประโยค เช่น And, But, When, Or, So.
คำเชื่อมประโยคมีอะไรบ้าง
คําเชื่อมภาษาอังกฤษ conjunction สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ
1. Coordinating Conjunctions
2. Subordinating Conjunctions
3. Correlative Conjunctions
หลักการใช้ Coordinating Conjunctions
เอาไว้ใช้เชื่อมประโยคที่มีน้ำหนักเท่ากัน คำเชื่อมในกลุ่มนี้คือ FAN BOYS = for, and, nor, but, or, yet, so.
Coordinating Conjunctions | ความหมาย | ตัวอย่างประโยค |
For | เพราะ | We chat on Facebook or Line, for its easy พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค หรือไม่ก็ไลน์ เพราะว่ามันง่าย |
And | และ | We chat on Facebook, and Line พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค และไลน์ |
Nor | ไม่ทั้งสอง | We chat on Facebook, nor Line พวกเราไม่แชททั้งทางเฟสบุ๊ค และทางไลน์ |
But | แต่ | We chat on Facebook, but they don’t chat on Line. พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค แต่พวกเราไม่แชททางไลน์ |
Or |
หรือ | We chat on Facebook, or Line. พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค หรือไม่ก็ไลน์ |
Yet | แต่ | We chat on Facebook, yet we don’t chat on Line. พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค แต่ไม่แชททางไลน์ |
So | ดังนั้น | We chat on Facebook, so we don’t chat on Line. พวกเราแชททางเฟสบุ๊ค ดังนั้นพวกเราไม่แชททางไลน์ |
หลักการใช้ Subordinating Conjunctions
คำเชื่อม Subordinating Conjunctions เป็นคำเชื่อมที่มักจะเจอบ่อยมากเมื่อเรียนภาษาอังกฤษเพราะคำเชื่อมที่อยู่ในกลุ่มนี้อยู่ในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายคำเพื่อเชื่อมประโยครองกับประโยคหลักเข้าด้วยกัน
จากตารางดังนี้เราจะบ่งบอกหมู่คำเชื่อม Subordinating Conjunctions พร้อมแปลความหมายให้เห็นอย่างชัดเจน
คำเชื่อม Subordinating Conjunctions | ความหมายภาษาไทย |
after | หลังจาก |
although | แม้ว่า |
as | เพราะว่า |
as far as | เท่าที่ |
as if | ราวกับว่า |
as long as | ตราบใดที่ |
as soon as | ทันทีที่ |
as though | ราวกับว่า |
because | เพราะว่า |
before | ก่อน |
even if/even though | แม้ว่า |
if | ถ้า |
in order that | เพื่อว่า |
since | ตั้งแต่, เพราะว่า, เนื่องจากว่า |
so that | เพื่อว่า |
than | กว่า |
though | แม้ว่า |
unless | เว้นเสียแต่ว่า |
until | จนกระทั่ง |
when | เมื่อ |
whenever | เมื่อใดก็ตาม |
where | ที่ซึ่ง |
whereas | ขณะที่ |
wherever | ที่ใดก็ตาม |
which | ที่ |
who | ผู้ที่ |
while | ในขณะที่ |
Ex.1: “after”: I went for a swim after breakfast. แปลว่า ฉันไปว่ายน้ำหลังอาหารเช้า
Ex.2: “because”: My sister she didn’t go to school yesterday because of fever. แปลว่า พี่สาวฉัน เธอไม่ได้มาโรงเรียนเมื่อวานนี้เนื่องมาจากการเป็นไข้
หลักการใช้ Correlative Conjunctions
เมื่อคุณอ่านหนังสือหรือดูหนังคงเจอหมู่คําเชื่อมภาษาอังกฤษแบบที่สามคือ Correlative Conjunctions ที่มีหน้าที่เชื่อมประโยคที่มีน้ำหนักเท่าๆกัน เยอะเหมือนกัน เช่นพวกคำว่า
Both … and … | ทั้ง … และ … | I enjoy both singing and dancing |
Neither … nor … | ไม่ทั้ง … และ … | Neither Namthip nor I want to go there. |
Either … or … | ถ้าไม่ … ก็ … | I can’t remember. It’s either Yellow or Orange. |
Not only … but also | ไม่เพียงแค่ … แต่ … | Namthip is not only Beatiful, but also a great teacher |
as…as | ….เท่ากับ….. | She is as tall as me |
just as…so | …..เหมือนกับที่….. | just as I thought |
no sooner…than | than ยังไม่ทันที่……ก็…… | No sooner had I started mowing the lawn than it started raining |
rather…than ……. | …….ดีกว่า…. | She would rather live in Chonburi than in Bangkok |
whether…or | …..หรือ…. | Whether you like it or not, you have to pay the fine |
the…the | ยิ่ง…..ยิ่ง… | The sooner, the better |
H – คำอุทาน (Interjection)
Interjections คือคำที่ใช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ให้ชัดเจนขึ้น เช่นยินดี ดีใจ เสียใจ ผิดหวัง โกรธ เกลียด ขยะแขยง และปกติมักจะตามหลังด้วย
เครื่องหมาย exclamation mark (!) แต่บางทีจะเป็นเครื่องหมาย , แล้วปิดท้ายประโยคด้วยจุด (period) หรือ เครื่องหมายคำถาม (question mark) ก็ได้!
หลักการใช้ interjections
อย่างที่เกริ่นสรุปการใช้ interjections ไปแล้วนะครับว่าเป็นคำที่ไว้ใช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ให้ชัดเจนยึ่งขึ้น เดี๋ยวเรามาดูกันนะครับว่ามีคำว่าอะไรกันบ้างที่เราน่าจะพบเห็นได้บ่อยๆ
Ah | อา, โอ้ | แปลกใจ โล่งใจ |
Ahem | อะเฮิม อะแฮ่ม | โปรดฟังทางนี้ |
Alas | อะแล๊ซ – โถ, โอ้ | สงสาร เวทนา |
Aha | อะฮ้า | เข้าใจ, ปิ้งไอเดีย |
Bingo | บิ๊งโก เย้ ไชโย | ดีใจ |
Hmm | เฮิม – อืม | คิดก่อน |
Oh | โอ – โอ้ | โกรธ ยินดี ผิดหวัง ปิ๊งไอเดีย |
Oops | อุพส – อุ๊ย | ทำบางอย่างพลาด |
Wow | วาว – ว้าว | แปลกใจ ยินดี |
Hello, Hi, Hey | – | คำทักทายก็ถือว่าเป็นคำอุทานเหมือนกันความหมายคือ สวัสดี |
I – วิธีจดจำคำที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ
คำนามในภาษาอังกฤษมักมีคำต่อท้ายต่อไปนี้
- tion: information, translation,…
- sion: television, question,…
- ment: environment, movement,…
- ce: peace, independence,…
- ness: kindness,…
- y: beauty, army,…
- er/or: động từ + er/or กลายเป็นคำนามสำหรับบุคคล: driver, teacher, visitor…
กริยามักจะลงท้ายด้วยตอนจบต่อไปนี้: -ate, -ize…: organize,…
คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษมักมีคำต่อท้ายต่อไปนี้:
- al: cultural, national,…
- ful: useful, beautiful,…
- ive: attractive, active…
- able: comfortable…
- ous: famous, dangerous…
- cult: difficult…
- ish: childish…
- ed: interested…
- y: คำนาม + Y คำคุณศัพท์: healthy, friendly…
- less: childless…
- ing: interesting, boring,…
- ish: selfish, childish,…
- ed: bored, interested,…
คำวิเศษณ์ในภาษาอังกฤษมักจะลงท้ายด้วย -ly เกิดจากการเติม -ly ลงในคำคุณศัพท์: fluently, badly, carefully…
K – สรุป
ว่าอย่างไรบ้างคะคุณเกี่ยวกับบทความ Parts of Speech ชนิดของคำในภาษาอังกฤษที่ English Breaking แนะนำวันนี้
หวังว่าจะมีประโยชต์ดีๆต่อคุณช่วยคุณแยกออกวิธีการใช้งานของคำศัพท์แต่ละชนิด ถ้ามีวิธีการเรียนที่ถูกต้องรับรองว่าคุณจะเป็นคนต่อไปที่เอาชนะการเรียนภาษาอังกฤษ
ไม่พลาดกับบทความนี้ :
- หลักการใช้ Verb- คำกริยาภาษาอังกฤษ ฉบับเข้าใจง่าย
- แปลภาษาอังกฤษ: เทคนิคการแปลภาษาอย่างมืออาชีพ งานแปลคุณภาพ
- พลาดแน่ถ้าไม่อ่าน หลักการใช้คำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ (Adjective)
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .