คำกริยาภาษาอังกฤษ – วันนี้ Eng Breaking จะพาคุณไปรู้จักกับคำกริยาภาษาอังกฤษฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด
ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง Verb คืออะไร Verb มีอะไรบ้าง หลักการใช้ Verb ใช้ยังไง พร้อมตัวอย่าง Verb ที่ใช้บ่อย พร้อมแล้วไปดูกันเลย
A – คำกริยาภาษาอังกฤษคืออะไร?
ก่อนอื่นเราจะไปทำความเข้าใจเรื่องคำกริยาภาษาอังกฤษคืออะไรกันนะ จริงๆ แล้วคำนิยามแต่ถ้าเข้าใจง่ายที่สุด คำกริยาภาษาอังกฤษ หรือ Verb เป็นคำที่บอกให้รู้ว่าประธานของประโยค ทำอะไร หรือมีสถานะเป็นอย่างไรนั่นเอง
ในภาษาอังกฤษได้ระบุความหมายของ Verb ตามนี้นะคะ “Verb is a word or phrase that describes an action, condition, or experience”
แปลว่า Verb คือ คำที่แสดงถึงอาการต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา นอกจากนั้นยังกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คำพูดที่แสดงถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยา ด้วยกันนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น:
- A man eats a mango. แปลว่า ผู้ชาย กิน มะม่วง ในประโยคนี้ใช้คำว่า eat บอกการกระทำและมันเป็น Verb
- The sun is hot. แปลว่า พระอาทิตย์ (คือ) ร้อน ในประโยคนี้ใช้คำว่า is บอกสถานะของพระอาทิตย์ว่าเป็นอย่างไร แต่คำว่า is, am, are บางทีจะไม่แปลกัน
- She worked hard. แปลว่า เธอทำงานขยันมาก ในประโยคนี้ใช้คำว่า worked บอกการกระทำและมันเป็น Verb
- It’s easy to learn English. แปลว่า เรียนภาษาอังกฤษง่ายมาก ในประโยคนี้ใช้คำว่า learn บอกการกระทำและมันเป็น Verb
เห็นไหมคะความสำคัญของคำกริยา ในภาษาอังกฤษ เป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญในแต่ละประโยค ถ้าในประโยคนั้น ๆ ขาดกริยา ความหมายก็ไม่เกิดและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์
ดูเพิ่ม:
B – ตำแหน่งของคำกริยาภาษาอังกฤษในประโยค
ในภาษาอังกฤษรูปแบบของ Verb ที่เรามักจะเจอบ่อยที่สุดคือ Subject + Verb + Object ในนั้นคำกริยาภาษาอังกฤษจะตั้วอยู่ด้านหลังของ Subject
ยกตัวอย่างเช่น:
- My family has six people. แปลว่าครอบครัวของฉันมี หกคน
- I am a student. แปลว่า ฉันเป็นนักเรียน
นอกจากนั้นแล้วคำกริยามักจะมาหลังกริยาวิเศษณ์ความถี่ด้วย (Adverb of Frequency)
Adverb of Frequency ที่เจอบ่อยๆ ดังนี้:
- Always แปลว่า เสมอ
- Usually แปลว่าโดยปกติ
- Often แปลว่า บ่อยๆ
- Sometimes แปลว่า บางครั้ง
- Seldom แปลว่า แทบจะไม่ หรือ นานๆ ครั้ง
- Never แปลว่า ไม่เคย
ยกตัวอย่างเช่น:
- He usually goes to school in the afternoon. แปลว่า เขามักจะเดินไปโรงเรียนตอนบ่าย
- I always walk to work. แปลว่า ฉันเดินไปทำงานเสมอ
- I oftern see her there. แปลว่า ฉันเจอเขาที่นี่บ่อยๆ
- We seldom go out in the evenings. แปลว่า นานๆ เราถึงจะไปข้างนอกตอนคำๆ
C – Verb มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท
คำกริยาภาษาอังกฤษ หรือว่า verb จะมีหลายรูปแบบ วันนี้เราจะมาดูกันว่ามันคืออะไรบ้าง และทำความเข้าใจละเอียดเฉพาะในรูปแบบที่มักจะใช้งานบ่อยที่สุดกันนะคะ
1 – คือ Regular verb หรือได้เรียกว่า คำกริยาปกติ
ที่มีการใช้งานง่ายสุดๆ คือคำกริยาอยู่ช่อง 2/3 แค่เติม -ed ท้ายคำจากช่อง 1 เช่น
wait/waited/waited
I waited 1 hour for you to come.แปลว่า ฉันรอคุณมาเป็นเวลา 10 นาที
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Arrive | Arrived | Arrived |
Call | Called | Called |
Wait | Waited | Waited |
ถ้าเกิดคำกริยานั้นลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน -y เป็น -i แล้วเติม – ed เช่น:
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Marry | Married | Married |
Study | Studied | Studied |
ถ้าคำกริยานั้นลงท้ายด้วย -e อยู่แล้ว เราแค่เติม -d เข้าไป เช่น:
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Hate | Hated | Hated |
Like | Liked | Liked |
2 – คือ Irregular verb หรือได้เรียกว่า คำกริยาอปกติ
ในภาษาอังกฤษมี irregular verbs อยู่ประมาณ 200 คำ และคำกริยานี้จะใช้งานตามหลักคือ เอาคำกริยาจากช่อง 1/2/3 มีรูปแบบเฉพาะ
เช่นคำว่า กิน = eat/ate/eaten
- I like to eat pizza. แปลว่า ผมชอบกินพิซซ่า
- Yesterday, I ate pizza. แปลว่า เมื่อวานผมกินพิซซ่า
- I have just eaten pizza. แปลว่า ผมเพิ่งกินพิซซ่าเสร็จพอดี
Irregular verb ได้แบ่งออกได้เป็นสี่กลุ่ม
2.1 – คำกริยาที่มีรูปเหมือนกันทั้งสามช่อง
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Cost | Cost | Cost |
Cut | Cut | Cut |
Hurt | Hurt | Hurt |
Let | Let | Let |
Put | Put | Put |
ตัวอย่างเช่น:
- My parents have let me stay out late tonight.
- They put on their jackets because it was very cold.
2.2 – คำกริยาที่ช่องสองกับช่องสามเหมือนกัน
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Bring | Brought | Brought |
Buy | Bought | Bought |
Cath | Caught | Caught |
Feel | Felt | Felt |
Find | Found | Found |
Get | Got | Got |
Have | Had | Had |
Hear | Heard | Heard |
Keep | Kept | Kept |
Leave | Left | Left |
Lose | Lost | Lost |
Make | Made | Made |
Read /ri:d/ | Read/’red/ | Read/’red/ |
Say | Said | Said |
Sell | Sold | Sold |
Send | Sent | Sent |
Teach | Taught | Taught |
Think | Thought | Thought |
Win | Won | Won |
ตัวอย่างเช่น:
- They had lunch at a Thai restaurant on Monday.
- Have you heard the news about the train strike?
2.3 – คำกริยาที่ช่องแรกกับช่องสามเหมือนกัน
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Come | Came | Come |
Become | Became | Become |
Run | Ran | Run |
2.4 – คำกริยาที่ทั้งสามช่องผันไม่เหมือนกันเลย
Base Form | Past Simple | Past Participle |
Be | Was/ Were | Been |
Begin | Began | Begun |
Break | Broke | Broken |
Choose | Chose | Chosen |
Do | Did | Done |
Drink | Drank | Drunk |
Drive | Drove | Driven |
Eat | ate | eaten |
Fall | Fell | Fallen |
Give | Gave | Given |
Go | Went | Gone |
Know | Knew | Known |
See | Saw | Seen |
Speak | Spoke | Spoken |
Swim | Swam | Swum |
Take | Took | Taken |
Wake | Woke | Woken |
Write | Wrote | Written |
ตัวอย่างเช่น:
- The kids ate a lot of cakes at the party.
- They drove to the airport and left their car there.
3 – คือ Adverb หรือได้เรียกว่า คำขยายกริยา
เป็นกริยาวิเศษณ์คือคำที่ขยายคำกริยา และคำคุณศัพท์ โดยปกติแล้วคำกริยาวิเศษณ์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Simple Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์ทั่วไป
2. Interrogative Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Relative(Conjunction) Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค Simple Adverb คือ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริยา ขยาย
หน้าที่ของ Adverb คือขยายคำกริยา ตัวอย่างเช่น He came here yesterday. เขา มา ที่นี่ เมื่อวานนี้
หน้าที่ของ Adverb คือ ขยายคำคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์เอง ตัวอย่างเช่น The fire is very hot. ไฟ ร้อน มาก
หน้าที่ของ Adverb คือ ขยายวิเศษณ์ (adverb) ตัวอย่างเช่น He walks very fast. เขาเดินเร็วมาก
รูปของคำวิเศษณ์: Adjective + ly → Adverb
Adjectives | Adverbs | Adjectives | Adverbs |
slow (ช้า) | slowly | quick (เร็ว) | quickly |
soft (นุ่มนวล) | softly | pretty (สวยงาม) | prettily |
gradual (ค่อยเป็นค่อยไป) | gradually | complete (สมบูรณ์) | completely |
sudden (ทันใด) | suddenly | proud (ภาคภูมิใจ) | proudly |
easy (ง่าย) | easily | loud (เสียงดัง) | loudly |
effective (มีประสิทธิภาพ) | effectively | frequent (บ่อยครั้ง) | frequently |
recent (เร็วๆ นี้) | recently | bad (เลว, แย่) | badly |
angry (โกรธ) | angrily | slight (เล็กน้อย) | slightly |
real (แท้จริง) | really | careful (ระมัดระวัง) | carefully |
4 – คือ Modal verb หรือได้เรียกว่า กริยาช่วย
ที่ทำหน้าทีบอกเจตนาอารมณ์หรือวัตถุประสงค์ของกริยา กลุ่มของ Modal verbs ที่ควรรู้จักคือ shall, should, will, would, can, could, may, might และ must ก่อนที่จะไปดูความหมายและการใช้ของแต่ละตัว เรามาดูหลักการใช้ที่มีเหมือนกัน คือ
- หลัง Modal verbs ทุกตัวต้องตาม Verb infinitive ซึ่งก็คือ Verb ที่เป็นรูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม (ไม่เติม –ing, -ed, ไม่เติม to, หรือ ไม่เติม s/es) เช่น
- ถูก He can drive a car./ผิด He can to drive a car.
- ไม่ว่าจะเป็นประธานตัวไหน เอกพจน์หรือพหูพจน์ คนเดียวหรือสองคน ก็ใช้กับ modal verbs ได้เลยโดยไม่ต้องเติม s/es ให้ยุ่งยาก (ง่ายซะยิ่งกว่าง่ายอีกค่ะ) เช่น
- ถูก Christopher should stop smoking./ผิด Christopher shoulds stop smoking.
- Modal verbs ในกลุ่มนี้สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือคำถามได้เลย โดยไม่ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do หรือ does เข้ามาช่วยอีกแล้ว เช่น
- ถูก She mustn’t enter here./ผิด She doesn’t must enter here.
5 – คือ Auxiliary verb หรือได้เรียกว่า กริยาช่วย
ที่ทำหน้าทีบอกกาลเวลาของกริยาโดยชื่อก็บอกไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเป็นกริยาช่วย (Helping Verbs) ซึ่งช่วยให้กริยาหลัก (Main/Lexical Verbs) นั้น สมบูรณ์ตามกฎไวยากรณ์และความหมาย
เช่น was/am/will (be)
- I was angry yesterday. แปลว่าเมื่อวานผมรู้สึกโกรธ
- I am sad today. แปลว่าวันนี้ผมรู้สึกเศร้า
- I will be happy tomorrow. แปลว่า พรุ่งนี้ผมจะรู้สึกมีความสุข
ภาษาอังกฤษสามารถแบ่ง auxiliary verb ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก Primary auxiliary verb คือ และ Modal auxiliary verb ดังน
สำหรับ Primary auxiliary verb สามารถแบ่งกริยาช่วยกลุ่มนี้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
5.1 – Verb to be ได้แก่ is, am, are, was, were ในนั้น Verb to be ใช้เป็นกริยาช่วยใน Continuous Tense และ Passive Voice โครงสร้าง (subject + verb to be + verb+ing + object)
รูปของ Verb to be:
- กริยาช่องที่ 1 = is, am, are
- กริยาช่องที่ 2 = was, were
- กริยาช่องที่ 3 = been
ตัวอย่างเช่น
- I am eating fried chicken. แปลว่า ฉัน กำลังกิน ไก่ทอด
- He was playing games while she was reading a book. แปลว่า เขาเคยกำลังเล่นเกมส์ ในขณะเดี่ยวกัน เธอเคยก าลังอ่านหนังสือ
5.2 – Verb to have ที่ใช้เป็นกริยาช่วยใน Perfect Tense ซึ่ง Perfect Tense และมีโครงสร้าง (subject + verb to have + verb 3 + object)
รูปของ Verb to have:
- กริยาช่องที่ 1 = has, have
- กริยาช่องที่ 2 = had
- กริยาช่องที่ 3 = had
ตัวอย่างเช่น
- I have been to Japan. แปลว่า ฉันเคยไปประเทศญี่ปุ่น
- She has never eaten sushi. แปลว่า เธอไม่เคยกินซูซิ
5.3 – Verb to do ได้แก่ do, does , did ที่ใช้ช่วยสร้างประโยคค าถามร่วมกับ Yes – No Questions กับ simple present และ past tenses (ปัจจุบันและอดีต) ใช้ตอบค าถามแบบสั้นๆ
รูปของ Verb to do:
- กริยาช่องที่ 1 = do, does
- กริยาช่องที่ 2 = did
- กริยาช่องที่ 3 = done
ตัวอย่างเช่น
- Do you want to eat some cakes? แปลว่า คุณอยากกินเค้กไหม
ตอบ 1. Yes, I do. >> อยากกิน 2. No, I don’t. >> ไม่อยากกิน
สำหรับ Modal auxiliary verb คือ กริยาช่วยที่มีความหมายในตัวเอง กริยาช่วยในกลุ่มนี้ได้แก่ will, would, shall, should, can, could, may, migh, must, dare, need, used to, ought to.
Modal Auxiliary verbs มีความหมายในลักษณะต่างๆ ดังนี้
ความสามารถ (Ability) | can/could |
การแนะนำ (Suggestions) | should |
ความจำเป็น/การบังคับ (Necessity/Obligation) | must |
การอนุญาต (Permission) | can/may |
ความน่าจะเป็น/ความเป็นไปได้ (Probability/Possibility) | may/might/can/should/would |
การสันนิษฐาน (Assumption) | must/should |
การสัญญา (Promise) | will |
ตัวอย่างการใช้ modal auxiliary verbs:
- I will go tomorrow. แปลว่า ผมจะไปพรุ่งนี้ (ประโยคนี้สมบูรณ์ถูกต้อง) will ไปเสริม go
- You shall go now. แปลว่า คุณควรไปเดี๋ยวนี้
- He need eat vegetables. แปลว่า เขาจำเป็นต้องกินผัก
- I used to play football when I lived here. แปลว่า ผมเคยๆเล่นฟุตบอล ตอนผมอยู่ที่นี
D – วิธีใช้คำกริยาในภาษาอังกฤษ HOW TO USE VERB
คำกิริยาในภาษาอังกฤษตามหลักไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 3 ช่อง เรียกว่า “ กิริยา 3 ช่อง “ ซึ่งแต่ละช่องก็บอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเวลาได้อีกด้วย ตามตัวอย่างในตาราง ต่อไปนี้
- กิริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
- กิริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
- กิริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและอดีต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา หรือ Complement “
ตัวอย่างเช่น
ช่องที่ 1 | ช่องที่ 2 | ช่องที่ 3 |
Run | Ran | Run |
See | Saw | Seen |
หลักการใช้Verb ใช้ยังไง
หลักการใช้ verb จะว่าไปแล้วมันก็คือ Verb Tense หรือ Tense 12 นั่นแหละครับ คำกริยาคำเดียวเดียวกัน สามารถสื่อความได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
- I eat. ฉันกิน
- I am eating. ฉันกำลังกิน
- I have eaten. ฉันกินเสร็จแล้ว
- I ate. ฉันกินมาแล้ว
- I will eat. ฉันจะกิน
E – Verbs – คำกริยาภาษาอังกฤษ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
คำกริยาภาษาอังกฤษ | ความหมายภาษาไทย | วิธีการออกเสียง |
do | ทำ | /duː/ |
get | ได้รับ | /ɡet/ |
go | ไป | /ɡəu/ |
know | รู้ | /nəu/ |
say | พูด | /sei/ |
think | คิด | /θiŋk/ |
see | เห็น | /siː/ |
come | มา | /kam/ |
want | ต้องการ | /wont/ |
mean | หมายความ | /miːn/ |
look | ดู | /luk/ |
put | วาง | /put/ |
take | เอา | /teik/ |
tell | บอก | /tel/ |
make | ทำ, สร้าง | /meik/ |
like | ชอบ | /laik/ |
give | ให้ | /ɡiv/ |
buy | ซื้อ | /bai/ |
leave | ทิ้ง | /liːv/ |
need | ต้องการ | /niːd/ |
keep | เก็บ | /kiːp/ |
try | ลอง | /trai/ |
work | งาน | /wəːk/ |
talk | พูด คุย | /toːk/ |
pay | จ่าย | /pei/ |
sit | นั่ง | /sit/ |
start | เริ่ม | /staː/ |
find | ค้นหา | /faind/ |
remember | จำ | /riˈmembə/ |
ask | ถาม | /aːsk/ |
hear | ได้ยิน | /hiə/ |
play | เล่น | /plei/ |
call | โทร , เรียก | /koːl/ |
Let | ปล่อย | /let/ |
eat | กิน | /iːt/ |
feel | รู้สึก | /fiːl/ |
mind | ระวัง | /maind/ |
use | ใช้ | /juːz/ |
Verb เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะเนื่องจากเนื้อหาเรื่อง Verb จะเป็นไปเชื่อมโยงกับบทอื่นๆได้อีก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Tenses หรือเรื่องของ Passive Voice โดยเฉพาะเรื่องของ Tenses คือถ้าTenses ต่างรายละเอียดการใช้ Verb ก็จะต่างกันออกไป
ซึ่งเป็นไปได้ยากครับที่เราจะเข้าใจเรื่องของ Verb ทันทีตั้งแต่ที่เริ่มศึกษา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ
ว่ายังไงบ้างคะ สำหรับหลักการใช้ Verb- คำกริยาภาษาอังกฤษ ฉบับสมบูรณ์ที่เราเอามาแนะนำวันนี้ ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ คะ เพื่อจดจำหลักการใช้นี้ได้ง่ายอย่าลืมเอามาใช้ มาตั้งเป็นประโยคบ่อยๆ นะคะ
ติดตาม Eng Breaking เพื่อแบ่งบันกันความรู้ดีๆ ช่วยกันเรียนภาษาอังกฤษอย่างสนุกสานค่ะ
ไม่พลาดกับบทความนี้ :
- แปลภาษาอังกฤษ: เทคนิคการแปลภาษาอย่างมืออาชีพ งานแปลคุณภาพ
- พลาดแน่ถ้าไม่อ่าน หลักการใช้คำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ (Adjective)
- อุปมาโวหารในภาษาอังกฤษ รู้ไว้ใช้แล้วเท่เหมือนเจ้าของภาษา
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .