สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ การออกเสียง หรือทักษะการพูดมีส่วนที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเรามีคำศัพท์เยอะขนาดไหน มั่นใจขนาดไหน
แต่หากเราออกเสียงได้ไม่ชัดเจนก็จะทำให้การสื่อสารไม่ถูกต้องได้ อาจเกิดความไม่เข้าใจในการสนทนา ซึ่งการเรียนรู้วิธีการออกเสียง ed, ออกเสียง s, es ให้ถูกต้องเป็นส่วนสำคัญที่ละเลยไม่ได้เมื่อต้องเรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษ
ไม่พลาดกับบทความนี้ > ข้อผิดพลาดเมื่อเรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษ
A – ทำไมต้องออกเสียงแยกระหว่าง ed, s, es?
แน่นอนว่าในการสื่อสาร หรือการพูดคุยกับคนอื่น เจ้าของภาษา หรือชาวต่างชาติ นอกจากต้องการมีคลังคำศัพท์ที่หลากหลาย
เราจำเป็นต้องมีการออกเสียงที่ถูกต้องด้วย เพื่อช่วยให้คนอื่นที่กำลังคุยกับเราหรือรับฟังสี่งที่เราพูดเข้าใจได้ว่าเรากำลังสื่อถึงเรื่องอะไร
ความผิดพลาดของคนบางคนเมื่อเรียนภาษาอังกฤษคือการไม่ให้ความสำคัญในการออกเสียงให้ถูกต้อง และนี่คือปัญหาเพราะเมื่อออกเสียงได้ไม่ถูกต้องก็จะเกิดผลต่อการฟัง ทำให้คนฟังไม่เข้าใจ และเกิดเป็นบทสนทนาที่มีการสื่อสารผิดพลาด
สำหรับคนบางคนที่อยากสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนสูงก็ต้องฝึกการออกเสียง ed และ การออกเสียง s, es ให้เป็นด้วย เพราะข้อสอบฟังมีคะแนนสูงในบททดสอบ Toeic
ถ้าเรารู้วิธีการใช้แล้ว เราจะไม่เสียคะแนนส่วนนี้ไป ดังนั้นเราต้องเน้นการออกเสียง แยกให้ออก และเรียนวิธีการจำให้ถูกและ วิธีช่วยเราจำได้ง่าย มีดังนี้
B – ทำความรู้จักเบื่องต้นกับการออกเสียงในภาษาอังกฤษ
เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์ระหว่างเครื่องหมายทับสองอัน (/ /) หมายถึงการออกเสียงหรือน้ำเสียงของคำศัพท์นั้น
- เสียงก้อง คือเสียงที่ออกมาเมื่อเราพูดแล้วมีเสียงสะท้อนดัง เมื่อคุณพูดอักษร /l/ หรือ /m /, /n/, /ŋ/,/r/, /l/, /w/, /y/
- เสียงไม่ก้อง เป็นอีกแบบหนึ่งที่ตอนที่เราพูดออกมาไม่มีเสียงสะท้อนดัง เมื่อคุณพูดอักษร /p/ หรือ /k/, /f/, /t/, /s/, /θ/, /ʃ/, /tʃ/
- นอกจากนี้ยังมีการออกเสียงอื่นๆ เช่น /b/, /g/, /v/, /d/, /z/, /ð/, /ʒ/, /dʒ/ ที่เราควรจดจำวิธีการออกเสียงให้ถูกต้อง ดังต่อไปนี้
ดูเพิ่ม:
- การออกเสียงภาษาอังกฤษ: แผนการปฏิบัติสุดเจ๋งสำหรับฝึกออกเสียงอย่างคล่องแคล่วใน 32 วัน
- การออกเสียงภาษาอังกฤษจะไม่เป็นศัตรูของคุณอีกต่อไป ด้วย 8 วิธีง่าย ๆ นี้
C – วิธีการออกเสียง ed
สำหรับการออกเสียง -ed มี 3 กรณีด้วยกัน คือ -ed ออกเสียงเป็น /t/, -ed ออกเสียงเป็น /id/ และ -ed ออกเสียงเป็น /d/ ที่รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
- กรณี ลงท้ายด้วยเสียงก้อง หรือเรียกได้ว่า Voiced Sound /b/, /g/,/h/, /j/, /l/, /m/, /n/, /r/, /v/, /w/, /y/, /z/ เมื่อเติม -ed ให้ออกเสียงเป็น “ด” /d/
ยกตัวอย่างเช่น
B: grab แกรบ >> grabbed แกรบดฺ, bang แบ็ง >> banged แบ็งดฺ
G: jog จอก >> jogged จอกดฺ, bang แบ็ง >> banged แบ็งดฺ
L: call คอล >> คอลดฺ
M: aim เอม >> เอมดฺ, trimmed ออกเสียงว่า ทริมดฺ
N: gain เกน >> gained เกนดฺ, opened ออกเสียงว่า โอเปินดฺ
Y: fry ฟราย >> fried ฟรายดฺ
Z: whiz วิส >> whizzed วิสดฺ
- กรณี ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง หรือเรียกได้ว่า “Voiceless Sound” คือ /c/, /k/, /p/, /s/, /x/ /f/, /tʃ/, /ʃ/ เมื่อเติม -ed ให้ออกเสียง “ท” /t/
ยกตัวอย่างเช่น
K: walk วอค >> walked วอคุทฺ
P: drop ดร็อพ >> dropped ดร็อพุทฺ, jumped จัมพ >> ออกเสียงว่า จัมพุทฺ
S: kiss คิส >> kissed คิสทฺ
- กรณี ลงท้ายด้วย /t/ หรือ /d/ เมื่อเติม -ed ออกเสียงเป็น ถิด หรือ ดิด /ɪd/
ยกตัวอย่างเช่น
D:
need นีด >> needed นีดดิด
end เอ็นดึ >> ended เอ็นดิด
add แอ็ด >> added แอ็ดดิด
decide ดิไซดึ >> decided ดิไซดิด
T:
date เดท >> dated เดทถิด
wanted ออกเสียงว่า วอนถิด/วอนหนิด
start สต๊าท >> started สต๊าทถิด
ยกตัวอย่างการฝึก ออกเสียง ed
“A Piece of Paper
Jimmy dropped a piece of paper on the floor. He bent over and picked it up. Then he folded the piece of paper in two. He put it on the table. He picked up a pencil. And he wrote a phone number on the piece of paper. He put the pencil on the table. He picked up the scissors. And he picked up the piece of paper. Then he cut the paper in half. He put one-half of the paper on the table. And he put the other half with the phone number in his shirt pocket. He put the scissors on the table”.
แปลว่า:
ชิ้นส่วนของกระดาษ
จิมมี่ทำกระดาษหล่นบนพื้น เขาก้มลงมารับมัน เขาพับกระดาษสองแผ่น เขาวางมันลงบนโต๊ะ เขาหยิบดินสอขึ้นมา เขาเขียนหมายเลขโทรศัพท์ลงบนแผ่นกระดาษ เขาวางดินสอบนโต๊ะเขาหยิบกรรไกรขึ้นมา เขาหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา เขาตัดกระดาษครึ่งหนึ่ง เขาวางกระดาษครึ่งหนึ่งไว้บนโต๊ะ เขาวางเบอร์โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกครึ่งหนึ่ง เขาวางกรรไกรบนโต๊ะ
ในบทนี้มีคำศัพท์ที่ออกเสียง ed คือ: dropped ที่จะออกเสียงเป็น “ดร็อพทึ” เพราะ คำว่า “drop”ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง หรือเรียกได้ว่า Voiceless Sound เป็นตัว /p/
ส่วนคำว่า picked จะออกเสียงเป็น “พิคททึ” เพราะ คำว่า “pick”ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง หรือเรียกได้ว่า Voiceless Sound เป็นตัว /k/
ดูเพิ่ม:
D – วิธีการออกเสียง s หรือ es
สำหรับการออกเสียง -s หรือ -es มี 3 กรณีด้วยกัน คือออกเสียงเป็น /ɪz/ (หรือ /əz/) และ ออกเสียงเป็น /s/ ,ออกเสียงเป็น /z/
รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
- กรณี ออกเสียง s เป็น /s/ เมื่อคำกริยาเหล่านั้นลงท้ายด้วย /f/, /k/, /p/, /t/, /th/ เช่น…
F: laugh, graph (“-gh” và “-ph” ออกเสียงเหมือน /f/ เลยจะกลายเป็นคำว่า laughs, graphs, )
K: work >> works , cook >> cooks
P: stop >> stops, sleep >> sleeps
T: sit >> sits, stundent >> students
TH: myth >> myths
- กรณี ออกเสียง s เป็น /z/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง /b/, /d/, /g/, /l/, /m/, /n/, /ng/, /r/, /v/, /y/, /the/ เช่น …
B: crab >> crabs
D: card >> cards
G: bag >> bags
L: fall >> falls
M: swim >> swims
N: pen >> pens
NG: king >> kings
R: run >> runs, wear >> wears
V: drive >> drives
Y: boy >> boys
THE: cloth >> clothes
นอกจากนี้ลงท้ายด้วยสระก็ออกเสียง/z/ เช่น sees, fleas
- กรณี ออกเสียง s เป็นเสียงอิซ /iz/ เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /s/, /t/, /d/, /c/, /x/, /z/, /ss/, /ch/, /sh/, /ge/ เช่น…
C: race >> races
S: nurse >> nurses
X: boxe >> boxes
Z: freeze >> freezes
SS: kiss >> kisses
CH: sandwiche >> sandwiches
SH: wishe >> wishes
GE: change >> changes, age >> ages
1 – ยกตัวอย่างการฝึก ออกเสียง s และ es
“SEASONS
Between the months of November and May a wind blows from the west in most parts of Indonesia. It comes from the ocean and carries rain. Clouds build up around the mountains, and every afternoon rain falls. The rain is always heavy, and rivers that can be walked across in the dry season now become dangerous. When it rains the whole day, they may suddenly overflow and cause great damage to the land.”
แปลว่า:
“ฤดูกาล
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม มีลมพัดมาจากทางตะวันตกในเกือบทุกพื้นที่ของอินโดนีเซีย มันมาจากมหาสมุทรพร้อมหอบหุ้มอุ้มลมฝน กับเมฆที่ก่อตัวขึ้นรอบภูเขาและมีฝนตกทุกบ่าย ฝนตกหนักเสมอและแม่น้ำที่สามารถเดินข้ามได้ในฤดูแล้งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่อันตราย เมื่อฝนตกตลอดทั้งวันแหล่งน้ำอาจล้นและทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน“
ในบทนี้มีคำศัพท์
SEASONS จะออกเสียงเป็น /z/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /n/
Parts จะออกเสียงเป็น /s/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /t/
Mountains จะออกเสียงเป็น /z/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /n/
Falls จะออกเสียงเป็น /z/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /l/
Always จะออกเสียงเป็น /z/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /y/
2 – ยกตัวอย่างการฝึก ออกเสียง ออกเสียง s และ es
“Learning English
Every year students in many countries learn English. Some of these students are young people, other are teenagers. Many are adults. Some learn at school, others study by themselves. A few learn English just by hearing the language in film, on television, in the office or among their friends. But not many are lucky enough to do that. Most people must work hard to learn another language”.
แปลว่า:
“เรียนภาษาอังกฤษ
นักเรียนทุกระดับชั้นปีในหลายประเทศเรียนรู้ภาษาอังกฤษ นักเรียนเหล่านี้บางคนเป็นคนหนุ่มสาว ส่วนอีกคนเป็นวัยรุ่น หลายคนเป็นผู้ใหญ่ บางคนเรียนที่โรงเรียนบ้างก็เรียนด้วยตัวเอง เรียนภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อยโดยการฟังภาษาในภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ที่ทำงานหรือในหมู่เพื่อน แต่มีไม่มากที่โชคดีพอที่จะทำเช่นนั้น คนส่วนทุกคนตอ้งทำงานขยันมากเพื่อเรียนรู้ภาษาอื่น“
ในบทนี้มีคำศัพท์
students จะออกเสียงเป็น /s/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /t/
teenagers จะออกเสียงเป็น /z/ เพราะมีคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียง /r/
E – เคล็ด ลับในการ ออกเสียง ed, s, es ที่จำได้ง่ายๆ เอามาใช้จริงได้ไม่ยาก
ต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง
เมื่อคุณอยากทำเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าอยากได้บรรลุเป้าหมาย ก่อนอื่นเราจะต้องรู้ว่า เป้าหมายของเราคืออะไรก่อน เช่นเมื่อคุณอยากพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ดี
คุณควรสร้างแผนการฝึกฟัง และฝึกพูด โดยกำหนดขอบเขตเป็นระยะเวลาสำหรับทักษะการพูด
สำหรับ การออกเสียง ed, s, es อย่างน้อยในหนึ่งวันจะต้องใช้ 10-15นาที เพื่อฝึกหัดอ่านประมาณ 20 คำ แล้ววันต่อไปใช้เวลาเรียน 15-20 นาที เพื่อฝึกหัดอ่านประมาณ 25 คำ ค่อย ๆ เพิ่มการฝึกวันละนิด ไม่นานคุณจะบรรลุเป้าหมายในการฝึกฝนได้ในที่สุด
สำหรับผู้เรียนคนใดที่ยังไม่รู้ว่าควรจะสร้างแผนการเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษเบื้องต้นอย่างไหร่ให้ชั่วร์ต้องไม่พลาดกับบทความนี้
ฝึกฟังบ่อย และเลียนแบบตามสำเนียงต่างชาติ
อย่าลืมฝึกฝนสำเนียงควบคู่ไปกับการฝึกฟังด้วย ตอนนี้มีหลากหลายช่องทางให้คุณเลือกสำหรับการฝึกออกเสียง เช่นการฟังเพลง หรือดูหนังที่มีซับไตเติ้ล ฝึกฟังตั้งแต่ระดับที่ออกเสียงช้า จนถึงเร็วไปเรื่อยๆ
ลองฟังไปรอบหนึ่งแล้วออกเสียงตาม การเลียนเสียงจะช่วยให้คุณมีสำเนียงที่ถูกต้องได้ แนะนำเว็บไซน์ที่สามารถฝึกฟังสำเนียงอังกฤษแบบฟรีๆ ที่คุณสามารถเรียนด้วยตัวเองเช่น….
ดูวิดีโอแนะนำการออกเสียงพร้อมฝึกพูดกับตัวเองในกระจก
ถ้าคุณสงสัยเกี่ยวกับคำศัพท์ไหนออกเสียงอย่างไร คุณสามารถเข้าไปหาวิธีการออกเสียงนั้นใน Youtube ได้ มีหลายช่องที่ช่วยสอนในเรื่องการออกเสียงให้เราเรียนได้ฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต
หลังจากนั้นคุณลองพูดกับตัวเองในกระจก หรือบันทึกเสียงไว้แล้วฟังการออกเสียงของตัวเองถูกหรือผิดอย่างไรเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่มีอะไรที่ยากหากใจพยายาม
ถ้าคนอื่นเขาทำได้ เราก็จะทำได้เช่นกัน สำคัญคือต้องค้นหาวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง ตามแนวที่ตัวเองชอบจะช่วยให้คุณกระตือรือร้นกับการเรียนให้มากขึ้น ทำให้การเรียนมีความสนุกสาน ไม่น่าเบื่อง่าย
F – แบบฝึกหัดทบทวน ed, s, es
EXERCISE 1: Choose the word whose underlined part is pronounced differently from the others
แบบฝึกหัด 1: เลือกคำที่มีการออกเสียงแตกต่างจำคำอื่น ๆ
1.
A. arrived ที่หมายความว่า มาถึง
B. believed ที่หมายความว่า เชื่อว่า
C. received ที่หมายความว่า ที่ได้รับ
D. hoped ที่หมายความว่า หวังว่า
2.
A. rubbed ที่หมายความว่า ลูบ
B. tugged ที่หมายความว่า ดึง
C. stopped ที่หมายความว่า หยุด
D. filled ที่หมายความว่า ที่เต็มไปด้วย
3.
A. tried ที่หมายความว่า พยายาม
B. obeyed ที่หมายความว่า เชื่อฟัง
C. cleaned ที่หมายความว่า การทำความสะอาด
D. asked ที่หมายความว่า ถาม
4.
A. Needed ที่หมายความว่า ที่จำเป็น
B. booked ที่หมายความว่า จอง
C. stopped ที่หมายความว่าหยุด
D. washed ที่หมายความว่า ล้าง
5.
A. talked ที่หมายความว่า พูดคุย
B. fished ที่หมายความว่า ประมง
C. arrived ที่หมายความว่า มาถึง
D. stepped ที่หมายความว่า ก้าว
ฉเลย แบบฝึกหัด 1: 1- D, 2- C, 3- D, 4- A, 5- C.
ยกตัวอย่าง ทำไมข้อที่ 5. เราถึงจะเลือกคำตอบ C. arrived เพราะว่าคำนี้มีลงท้ายด้วยเสียง /d/ ส่วนสามคำที่เหลือคือ talked, fished, stepped มีลงท้ายด้วยเสียง /t /
EXERCISE 2: Choose the word whose underlined part is pronounced differently from the others
แบบฝึกหัด 2 เลือกคำที่มีการออกเสียงแตกต่างจำคำอื่น ๆ
1.
A. helps ที่หมายความว่า จะช่วยให้
B. laughs ที่หมายความว่า หัวเราะ
C. cooks ที่หมายความว่า ปรุงอาหาร
D. finds ที่หมายความว่า ค้นหา
2.
A. develops ที่หมายความว่า พัฒนา
B. takes ที่หมายความว่า เอา
C. laughs ที่หมายความว่า หัวเราะ
D. volumes ที่หมายความว่า ปริมาณ
3.
A. sports ที่หมายความว่า กีฬา
B. plays ที่หมายความว่า การเล่น
C. chores ที่หมายความว่า เหลือเกิน
D. minds ที่หมายความว่า จิตใจ
4.
A. dates ที่หมายความว่า วันที่
B. bags ที่หมายความว่า กระเป๋า
C. photographs ที่หมายความว่า การถ่ายภาพ
D. speaks ที่หมายความว่า พูด
5.
A. repeats ที่หมายความว่า ซ้ำ
B. classmates ที่หมายความว่า เพื่อนร่วมชั้น
C. dishes ที่หมายความว่า จาน
D. attacks ที่หมายความว่า การโจมตี
ฉเลย แบบฝึกหัด 2: 1-D, 2-D, 3 -A, 4-B, 5- C.
ยกตัวอย่าง ทำไมข้อที่ 5 เราถึงจะเลือกคำตอบ C. dishes เพราะว่าคำนี้มีลงท้ายด้วยเสียง “/ɪz/” ส่วนสามคำที่เหลือคือ repeats, classmates, attacks มีลงท้ายด้วยเสียง “/s/”
G – ฝึกการออกเสียง ed ผ่านเว็บไซต์ชื่อดัง
คุณสามารถหาแบบฝึกหัดตามแนวๆ นี้เพื่อลองดูว่าตัวเองทำถูกทำผิดอย่างไร ถ้ามีการฝึกหัดบ่อยๆ คุณก็จะคุ้นกับศัพท์บางคำ ที่ไม่จำเป็นต้องจดจำว่ามันมีลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง
หรือเสียงก้อง หรือหาบทฝึกฟังในเว็บไซน์ต่างๆ ที่ชื่อดังเพื่อสามารถเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเองแบบฟรี ๆ ทุกวันและได้ผลดี เช่น
- 5minuteenglish.com เหมาะสมกับผู้ที่ที่ชอบฟังบทบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เรื่องการงาน ไลฟ์สไตล์ มีให้เลือกหลากหลายที่คุณสามารถเลือกไปฟังได้ พร้อมแถมบท Script ที่มีเนื้อหาให้อ่านไปพร้อมๆ กับการฟังด้วย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างเต็มที่และได้ผลจริง
- Elllo.org เป็นแหล่งข้อมูลและบทสัมภาษณ์ที่แบ่งเป็นหลายระดับตั้งแต่ 1 – 7 (Low beginner ถึง Advance) พร้อมกับหัวข้อ เนื้อหาน่าสนใจ มาพร้อมกับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย ช่วยให้คุณพัฒนาได้ทั้งสี่ทักษะในการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการออกเสียงภาษาอังกฤษ
ทั้งหมดดังคือเป็นข้อมูลที่ทางเราได้รวมรวมจากประสบการณ์ของคนที่เคยเรียนมาจริง นำมาเสนอเพื่อสนับสนุนให้คุณรู้วิธีการออกเสียง ed, s, es ที่ถูกต้อง และใช้หลักที่ช่วยให้จำได้ง่ายๆ
โดยหวังว่าข้อมูลทั้งหมดจะช่วยให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายในการเรียนของตัวเองได้ในที่สุด เพราะการเรียนภาษาอังกฤษสมัยนี้สำคัญมาก
นอกจากจะช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะก้าวหน้าด้านการทำงานแล้ว ยังช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวคุณเองให้พบกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีขึ้นที่เข้ามาในชีวิตของคุณเองอีกด้วย
หากใครที่กำลังมองหาที่เรียนภาษาอังกฤษระดับเทพอย่างกับเจ้าของภาษา อยากรู้เคล็ดลับดี ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
มาที่นี่สิ EngBreaking.co.th แหล่งเรียนภาษาอังกฤษแบบ เข้าใจง่ายได้ด้วยตัวเอง และ คุณยังมีโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึงในชุมชนคนรักภาษาอังกฤษกับเรา
ชุมชนของเราจะช่วยเหลือท่านให้สู่จุดที่ภาษาอังกฤษนั้นไม่ใช่เรื่องอยากอีกต่อไป
-
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
very good
ขอบคุณสำหรับความสนใจของคุณค่ะ