แต่ละคนจะมีการค้นคว้า และหาวิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่ไม่เหมือนกัน ทำบางที่ผลออกมาก็แตกต่างกันไป
ไม่ว่าคุณจะเลือกเรียนแบบออนไลน์ที่บ้านด้วยตัวเอง หรือเรียนที่ไหนก็ตาม การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องไม่พลาด โดยเฉพาะสำหรับผู้เรียนที่เริ่มต้นใหม่
A – ภาษาอังกฤษสำคัญจริง หรือไม่ ?
ถ้ามีคนถามว่า จำเป็นแค่ไหนที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าคำตอบคือ จำเป็น นั
่นก็เพราะว่าสมัยนี้ คนทั่วโลกใบนี้ก็ใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสาร เพื่อเข้าใจกัน และถ้าเราพูดเป็น ใช้เป็น นั่นคือประโยชน์และโอกาสที่จะช่วยส่งเสริมให้เราก้าวหน้าและสร้างการพัฒนาที่ดีขึ้น
เพราะนี้ภาษาอังกฤษจะช่วยให้คนเราปรับเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้นในทุกวัน เราสามารถเข้าใจฉลากสินค้าต่างประเทศ อ่านข่าวภาษา ฟังเพลง ดูภาพยนตร์ ที่เป็นพฤติกรรมประจำวันที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง
ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ควรเริ่มต้นจากไหน ควรเรียนอย่างไรเพื่อได้ผลออกมากดี ใช้งานได้เร็ว อย่าพลาด เคล็ดลับดี ๆ ที่มีมาในบทความนี้ของเรา
ดูเพิ่ม:
- วิธีการออกเสียง ed, s, es ง่ายๆ ใครก็เรียนเองได้
- การออกเสียงภาษาอังกฤษ: แผนการปฏิบัติสุดเจ๋งสำหรับฝึกออกเสียงอย่างคล่องแคล่วใน 32 วัน
B – ปัญหาที่มักจะเจอบ่อยเมื่อเรียนภาษาอังกฤษ
การแปลคำเป็นไทยก่อนที่จะพูด จะทำให้เกิดความล่าช้าในการสื่อสาร เป็นปัญหาที่มักจะเจอบ่อยที่สุด เพราะหลายคนยังขาดความมั่นใจ กลัวว่าจะพูดออกไปผิด ทำให้การสื่อสารเกิดการชะงักขึ้นมาได้
แต่หากคุณไม่พยายามฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษ เกิดแต่เพียงการท่องจำคำศัพท์ไปวัน ๆ ไม่นำมาประยุกต์ใช้ ก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้
อย่างการฝึกการออกเสียง ถ้าไม่เรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น ก็อาจเกิดปัญหา ไม่ประสบความสำเร็จในการสื่อสารและเกิดการพัฒนาทักษะในด้านอื่น ๆ ที่ล่าช้าอีกด้วย
C – แผนการเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน
ตอนแรก: ใช้เวลา 8 วัน เพื่อฝึกการออกเสียง /iː/, /ɜː/, /ɑː/, /eɪ/, /dʒ/, /j/, /θ/, /l/
ตอนที่สอง: ใช้เวลาประมาณ 20 วันเพื่อฝึกการออกเสียงสัทอักษรสากล IPA
ตอนที่สาม: ฝึกหัด เเละทบทวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสียงที่มักจะใช้ผิดบ่อยใน 3 วัน
รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเรียน สำหรับการออกเสียงที่เบื้องต้น มีดังต่อไปนี้
ตอนแรก: ใช้เวลา 8 วัน เพื่อฝึกการออกเสียง /iː/, /ɜː/, /ɑː/, /eɪ/, /dʒ/, /j/, /θ/, /l/
- ในภาษาอังกฤษ มี 8 เสียงที่ออกเสียงค่อนข้างจะยาก ที่คุณควรใช้เวลาสำหรับการฝึกหัดได้มากขึ้น และเน้นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ต้องพลาดคือ/iː/, /ɜː/, /ɑː/, /eɪ/, /dʒ/, /j/, /θ/, /l/ เพราะ8 เสียงเหล่านี้ปรากฏใน 80% ของคำภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าคุณพลาดจุดนี้ไป การออกเสียงของคุณจะไม่ได้ธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษาแน่นอน
- เราต้องเน้นการฝึก 8 เสียงหลักใน ประมาณ 8 วัน เพราะนี่คือเวลาที่เพียงพอสำหรับทั้งการฝึกฟังและ ฝึกพูดตาม เลียนแบบตามการออกเสียงของเชาต่างชาติ และเสียงเหล่านี้จะแตกต่างกับการออกเสียงของภาษาไทย ดังนั้นการฝึกหัดก็จะใช้เวลามากขึ้น ทำให้หลายคนเริ่มต้นใหม่รู้สึกว่จะท้อแท้ แต่ถ้าผ่านจุดๆ นี้ได้คุณจะสามารถมั่นใจในการออกเสียงของตัวเองได้ครึ่งทางแล้ว
ตอนที่ 2: ใช้เวลาประมาณ 20 วันเพื่อฝึกการออกเสียงสัทอักษรสากล IPA
ในภาษาอังกฤษก็มีทั้งหมด 40 เสียงหลักที่คุณต้องเรียนรู้ หมั่นฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งเสียงเหล่านี้มีวิธีการออกเสียงคล้ายๆ กัน
หลาย ๆ คนจึงเกิดความสับสนตอนที่พูดออกมา ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาทำให้คนที่คุยกับเราไม่เข้าใจว่าเราจะพูดอะไร สื่อถึงเรื่องอะไร
แต่หากคุณใช้เวลาประมาณ 20 วัน เพื่อฝึกฝนเรื่องนี้ตรงนี้ แน่นอนว่าคุณจะเห็นทักษะการพูดของตัวเอง ที่ก้าวกระโดด โดยขั้นตอนง่ายๆ คือ
เริ่มจากการออกเสียงหนึ่งใน สาม วินาทีเท่านั้น แล้วลองใหม่อีกครั้งแต่พูดเร็วขึ้น ใน หนึ่ง วินาที แล้วสุดท้ายก็ลองเลียนแบบตามการออกเสียงของเจ้าของภาษา มีเสียงก้อง เสียงไม่ก้อง เสียงสูง เสียงไม่สูงให้ถูกต้อง
การเรียนในตอนที่สองนี้จะทำให้คุณไม่พูดติดอ่าง ไม่มีปัญหาสำหรับการออกเสียง และเป็นวิธีการเรียนที่สรุปมาจากประสบการณ์ของหลายๆ คนที่เคยผ่านจุดนี้ไป ที่มีแนวในเรียน
การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ดีตั้งแต่เบื้องต้นที่ทางเราอยากแชร์กับคุณเพื่อสนับสนุนให้การเรียนได้ผลออกมาดีที่สุด
ไม่สามารถปฏิเสธได้! คุณต้องการชมวิดีโอนี้แน่นอน!
ตอนที่ 3: ฝึกหัด เเละทบทวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสียงที่มักจะใช้ผิดบ่อยใน 3 วัน
คุณรู้ไหมว่า หลังจาก 28 วันที่คุณใช้เวลาเพื่อฝึกการออกเสียงถึงตอนที่สามในแผนการเรียนนี้ หมายถึงว่าคุณสามารถออกเสียงถูกไปถึง 70% ตามสัทอักษรสากล IPA เช่นคำว่า
/i:/ sit, bit, with
/i/ ee: teeth, sweet, ea: meat, seat, -e: he, she, i: police
/e/ bed, wed
/æ/ bat, sat, cat
/ɑ/ father, water, hot, rock, pot
/ɔ/ law, awful
เสียงก้อง และเสียงไม่ก้อง หรือเรียกว่า VOICELESS และ VOICED เป็นต้น
แต่ถ้าคุณอยากมีความก้าวกระโดดจริงๆ ให้เสียงที่ออกมาถูกต้อง ชัดเจนได้ไว คุณสามารถเริ่มต้นตอนที่สามคือ ความเข้าใจกับการออกเสียงที่ยาก และ ฝึกหัด ประมาณ 3 วัน สำหรับ
1 – เน้นคำที่ถูกต้อง
ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่องเน้นคำถูกที่สำคัญมาก เพราะว่าเมื่อคุณออกเสียงถูก เน้นคำถูกจะทำให้คำพูดของคุณฟังเพราะขึ้น จะเคียงข้างกันกับการออกเสียงของเชาต่างชาติมากขึ้น เช่น
- คำกริยาที่มี 2 พยางค์ -> เน้นน้ำหนักพยางค์ในพยางค์ที่สอง: be’gin, for’give, in’vite, a’gree, …
- คำนามที่มี 2 พยางค์ -> เน้นน้ำหนักพยางค์ในพยางค์แรก: ‘father, ‘table, ‘sister, ‘office, ‘moutain…
- คำคุณศัพท์ที่มี 2 พยางค์ -> เน้นน้ำหนักพยางค์ในพยางค์แรก: ‘happy, ‘busy, ‘careful, ‘lucky, ‘healthy,…
ดังนั้นถ้าคุณอยากมีความมั่นใจมากขึ้นในการสื่อสารคุณควรเรียนรู้เพิ่มเติมการเน้นคำในภาษาอังกฤษ และเรืองนี้ก็ทำไม่ได้ยาก แค่ใช้เวลาฝึกออกเสียงบ่อย ฟังสำเนียงต่างชาติบ่อย คุณจะพูดได้ดีเหมือนกัน
ตัวอักษรภาษาอังกฤษ:สำหรับผู้เรียนมือใหม่ >>> อ่านเพิ่มเติมที่นี่
2 – เรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษตอนฝึกการออกเสียงสูงต่ำ
ปกติแล้วในทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษถ้าเราใช้กระแสเสียงดีจะทำให้คำพูดเข้าหู ฟังสบายมากขึ้น
แต่ถ้าเราใช้กระแสเสียงที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้คนที่คุยกับเรารู้สึกเบื่อหรือติดขัดที่จะคุยต่อเพราะเกิดความไม่เข้าใจในการสนทนา ดังนั้นเราควรจะปรับการใช้กระแสให้ถูกต้องให้เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังจะคุย หรือแล้วแต่กรณี
การใช้กระแสเสียงถูกต้อง เพื่อให้คุณมีการออกเสียงดี เหมือนสำเนียงเจ้าของภาษา การใช้กระแสเสียงสำคัญมาก เหมือนว่าคุณสามารถใส่อารมณ์ แสดงความรู้สึกในสี่งที่พูดออกมา
ลองดูวิธีการใช้กระแสเสียงในภาษาอังกฤษดังนี้ รับรองว่าคุณจะมั่นใจเมื่อสื่อสารกับเชาต่างชาติแน่นอน
กฎข้อที่ 1: สำหรับประโยคที่เล่าเรื่องน้ำเสียงมักจะลงอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
They are doctors
She is happy.
My teacher told us to open our book.
กฎข้อที่ 2: สำหรับคำถาม WH (what, where, when, why, whose, whom, who) และ how, น้ำเสียงมักจะลงอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
What is your name? คุณชื่ออะไร?
Where are my apples? แอปเปิ้ลของฉันอยู่ที่ไหน
When does the movie start? หนังเริ่มเมื่อไหร่?
Why did you go to bed late last night? ทำไมคุณไปนอนดึกเมื่อคืนนี้?
Whose is this umbrella? ร่มนี้เป็นของใคร
Who can answer that question? ใครสามารถตอบคำถามนี้
how many peoples in your family? มีกี่คนในครอบครัวของคุณ?
กฎข้อที่ 3: สำหรับคำถาม Yes/ No, น้ำเสียงมักจะขึ้นอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
Do you enjoy learning English? คุณสนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษหรือไม่คะ/ครับ? Do you like English? คุณชอบภาษาอังกฤษมั๊ยคะ/ ครับ?
กฎข้อที่ 4: สำหรับประโยคแบบเรียกชื่อสี่งของหลายอย่าง น้ำเสียงมักจะขึ้นอยู่เครื่องหมาย “,” และเสียงขึ้นก่อนคำเซื่อม “และ” แล้วน้ำเสียงจะลงอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
I like learning English, Physics and Geography very much.
ฉันชอบเรียนภาษาอังกฤษฟิสิกส์และภูมิศาสตร์มาก
กฎข้อที่ 5: สำหรับคำถามที่เลือกระหว่างสองอย่างขึ้นไป น้ำเสียงจะลงอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
What do you want to drink, tea or coffee? คุณต้องการดื่มชาหรือกาแฟอะไรคะ/ครับ?
กฎข้อที่ 6: สำหรับคำถามที่มีเครื่องหมาย “?” อยู่ท้ายประโยค จะต้องปรับน้ำเสียงลงอยู่ท้ายประโยค เพื่อแสดงให้แน่ใจว่าคนตอบเข้าใจสี่งที่เราพูดอย่างแท้จริง
เช่น:
She is so pretty, isn’t she? (น้ำเสียงลงอยู่“pretty”, “she”)
You know him, don’t you? (น้ำเสียงลงอยู่“him”, น้ำเสียงขึ้นอยู่ “you”)
กฎข้อที่ 7: สำหรับประโยคอุทาน, น้ำเสียงลงอยู่ท้ายประโยค
เช่น:
Omg, How well she sings! โอ้พระเจ้าเธอร้องเพลงดีมาก!
How interesting this film is! ทำอย่างไรหนังเรื่องนี้น่าสนใจขนาดนี้!
What beautiful flowers are! ดอกไม้ที่สวยงามมากขนาดนั้น!
3 – เรียนรู้คำเชื่อมจะทำให้คำพูดออกมาธรรมชาติ
ในบ้างกรณีตอนที่เราพูด เราลืมคำหรือยังคิดไม่ออก เลยใช้พวกคำเช่น uhm, so, mm…แต่มันจะทำให้ต่างชาติคิดว่าเราพูดไม่ดีก็มี ดังนั้นเราควรเสริมสร้างคำเซื่อมในภาษาอังกฤษเพื่อเชื่อมต่อ คำต่อคำ ประโยคต่อประโยคให้ฟังธรรมชาติ เช่น
- And (และ)
- Also (ก็)
- Besides (นอกจากนั้น)
- First, second, third… (ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม)
- In fact (ความแท้จริงคือ)
- Indeed (ความจริงคือ)
- Especially (โดยฉเพราะ) …
และไม่ลืมวิธีการออกเสียงเซื่อทต่อกันในกรณีเช่น
- Mark up”, เราจะอ่านคำเซื่อมต่อกันเช่น /ma:k k٨p/ คือถูกต้อง ไม่ใช่แยกเป็นสองคำเหมือนหลายคนมักจะออกเสียงผิดคือ “make-up”
- คำ “Leave it” ก็เหมือนกัน จะอ่านเป็น /li:v vit/ หรือคำว่า “MA” (Master of Arts) จะออกเสียงถูกต้องเป็น /em mei/
4 – แยกระหว่าง การออกเสียง ed, s, es ที่มักจะออกเสียงผิดบ่อย
ในภาษาอังกฤษการออกเสียง ed, s, es มักจะผิดบ่อยมาก เพราะเสียงออกมาคล้ายๆ กัน บางคนจะสับสนและแยกไม่ออก ทำให้ผลสอบขาดคะแนนส่วนนี้เยอะไป และเมื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ ก็อาจเกิดการสนทนาที่ผิดพลาด
ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องจดจำวิธีการออกเสียง ed, s, es ถ้าคุณอยากมีความก้าวกระโดดในการเรียนภาษาอังกฤษ และไม่ลืมฝึกหัดบ่อยๆ เพื่อใช้งานได้ดี
โดยเฉพาะคำศัพท์ที่มักจะออกเสียงยาก การออกเสียง -ed มี 3 กรณีด้วยกัน คือ–ed ออกเสียงเป็น /t/, –ed ออกเสียงเป็น /id/ และ–ed ออกเสียงเป็น /d/ เช่น
- call คอล >> คอลดึ ออกเสียงเป็น /d/
- kiss คิส >> kissed คิสทึ ออกเสียงเป็น /t/
- add แอ็ด >> added แอ็ดดิด ออกเสียงเป็น /ɪd/
ที่คุณสามารถจดจำตามตารางดังนี้:
วิธีการออกเสียงภาษาอังกฤษ ed
/t/ | /id/ | /d/ |
เสียง /ed/ อ่านเป็น “ท” /t/ เมื่อมีลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง /k/, /p/, /s/, /f/, /tʃ/, /ʃ/ | เสียง /ed/ อ่านเป็น /id/ เมื่อมีลงท้ายด้วย /t/ หรือ /d/ | เสียง /ed/ อ่านเป็น “ด” /d/ เมื่อมีลงท้ายด้วยเสียงก้อง /b/, /g/,/h/, /j/, /l/, /m/, /n/, /r/, /v/, /w/, /y/, /z/ |
วิธีการออกเสียง ed, s, es ง่ายๆ ใครก็เรียนเองได้ >>>อ่านเพิ่มเติมที่นี่
ส่วน การออกเสียง s, es ก็มี 3 กรณีด้วยกัน คือออกเสียงเป็น /ɪz/ (หรือ /əz/), ออกเสียงเป็น /s/, ออกเสียงเป็น /z/ เช่น
stop >> stops ออกเสียงเป็น /s/
fall >> falls ออกเสียงเป็น /z/
freeze >> freezes ออกเสียงเป็น /ɪz/
ดูเพิ่ม:
D – เคล็ค ลับในการออกเสียงภาษาอังกฤษเบื้องต้น
ขยันและมั่นใจในการฝึกออกเสียงให้ถูกต้องทุกวัน
การเรียนภาษาอังกฤษจะต้องการใช้เวลานิดหนึ่ง ดังนั้นคุณไม่ต้องรีบมาก และไม่ควรก้าวผ่านความรู้พื่นฐานและคิดว่ามันไม่สำคัญ เพราะถ้าเราขาดความรู้ หรือเลือกวิธีการเรียนที่พลาด
เราจะเรียนไปนานแค่ไหนก็ไม่ได้ผลดี ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวให้ดี และบอกกับตัวเราเองว่าสักวันหนึ่งเราก็จะทำได้แน่นอน
ควรใช้เวลาสัก 10-15 นาทีต่อวันเพื่อทวนบทเรียนที่เรียนไปเมื่อวาน และใช้อีก 10-15 นาทีต่อไปเพื่อฝึกออกเสียงคำศัพท์ใหม่ คำไหนที่ยิ่งออกเสียงยาก
เราก็ต้องยิ่งพยายามฝึกหัดให้มากขึ้นถึงจะเป็นได้ และเพื่อทำให้การเรียนไม่เบื่อคุณสามารถเปลี่ยนจากการฟังข่าว เป็นฟังเพลงที่ชอบและออกเสียงร้องแพลงไปตามด้วยก็เป็นวิธีหนึ่งสำหรับการฝึกออกเสียงดีที่หลายคนประยุกต์ใช้อยู่ตอนนี้
“make a new friend” หรือเรียกว่าหาเพื่อนใหม่คนหนึ่งเพื่อช่วยในการออกเสียงดีขึ้น
ลองหาเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ หรือคนที่เก่งภาษาอังกฤษเพื่อฝึกคุยกัน แก้ไขคำที่ออกเสียงไม่ถูกต้องเพื่อทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อ และมีแรงจูงใจมากขึ้นสำหรับการเรียน
บางคำศัพท์ที่มีการออกเสียงค่อยข้างยากที่เราไม่ควรพลาดเช่น
การออกเสียงภาษาอังกฤษ /i:/:
เช่น
sheep /∫i:p/: ที่หมายความว่า แกะ
meal /mi:l/: ที่หมายความว่า อาหาร
see /si:/: ที่หมายความว่า ดู
bean /bi:n/: ที่หมายความว่า ถั่ว
การออกเสียงภาษาอังกฤษ i: /ɪ/
เช่น
it /ɪt/: ที่หมายความว่า มัน
sit /sɪt/: ที่หมายความว่า นั่ง
chick /t∫ɪk/: ที่หมายความว่า ลูกเจี๊ยบ
begin /bɪ’gɪn/: ที่หมายความว่า เริ่ม
การออกเสียงภาษาอังกฤษ e – /e/:
เช่น
ten /ten/: ที่หมายความว่า สิบ
head /hed/: ที่หมายความว่า ศีรษะ
pen /pen/: ที่หมายความว่า ปากกา
cheque /tʃek/: ที่หมายความว่า ตรวจสอบ
การออกเสียงภาษาอังกฤษ /æ/:
เช่น
shall /ʃæl/: ที่หมายความว่า จะต้อง
man /mæn/: ที่หมายความว่า ผู้ชาย
sad /sæd/: ที่หมายความว่า เสียใจ
bag /bæg/: ที่หมายความว่า ถุง
การออกเสียงภาษาอังกฤษ o /ɔː/:
เช่น
ball /bɔːl/: ที่หมายความว่า ลูกบอล
four /fɔː(r)/: ที่หมายความว่า สี่
caught /kɔːt/: ที่หมายความว่า จับ
port /pɔːt/: ที่หมายความว่า ท่าเรือ
fork /fɔːk/: ที่หมายความว่า ส้อม
sport /spɔːt/: ที่หมายความว่า กีฬา
short /ʃɔːt/: ที่หมายความว่า สั้น
การออกเสียงภาษาอังกฤษ /ʊ/:
เช่น
put /pʊt/: ที่หมายความว่า ใส่
cook /kʊk/: ที่หมายความว่า ปรุงอาหาร
good /gʊd/: ที่หมายความว่า ดี
look /lʊk/: ที่หมายความว่า ดู
book /bʊk/: ที่หมายความว่า หนังสือ
การออกเสียงภาษาอังกฤษ /ʌ/:
เช่น
cut /kʌt/: ที่หมายความว่า ตัด
cup /kʌp/: ที่หมายความว่า ถ้วย
การออกเสียงภาษาอังกฤษ /ɑ:/:
เช่น
heart /hɑːt/: ที่หมายความว่า หัวใจ
start /stɑːt/: ที่หมายความว่า เริ่มต้น
hard /hɑːd/: ที่หมายความว่า ยาก
จะให้เห็นได้ว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ใช่ยากมากที่ทำไม่ได้ แค่เรามีวิธีการเรียนที่เหมาะสม มีเคล็คลับสำหรับการออกเสียงที่ดี และพร้อมฝึกหัดบ่อยๆ ทุกวัน
เราเชื่อว่าสักวันหนึ่ง คุณจะเก่งได้ จะมีความก้าวกระโดดในการใช้ภาษาที่สอง หรือสามคือ ภาษาอังกฤษที่ดี ไม่แพ้ภาษาแม่แน่นอน
อย่ารีบมากไปสำหรับการเรียน เรียนทีละนิดแต่ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ แล้วเอามาประยุกต์ใช้งานจริง ใช้บ่อย ชวนเพื่อนมาคุย แชร์ประสบการณ์ซึ่งกันละกัน
รับรองว่าทุกอุปสรรคก็สามารถผ่านพ้นมาได้ดีไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษ หรือเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเรามั่นใจในสี่งที่เราทำ เราก็ชนะได้ถึง 50% แล้ว
EngBreaking.co.th เว็บไซต์ที่พร้อมเผยเคล็ด ลับสำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เก่งทั้งสี่ทักษะยินดีที่จะได้เดินทางพร้อมกับคุณอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่เบื้องต้น ง่าย ถึง ยาก เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคนไทยได้ในสมัยนี้
ถ้าคุณสนใจกับแผนการเรียนเพื่อพัฒนาทั้งสี่ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษสามารถติดต่อกับ: EngBreaking.co.th ของเราเพื่อรับข้อมูลรายละเอียด เพื่อรับคำแนะนำวิธีการออกเสียงภาษาอังกฤษเบื้องต้นที่ถูกต้อง ให้คุณมั่นใจในการสื่อสารเกี่ยวกับหลายหัวข้อที่น่าสนใจใช้ในชีวิตประจำวัน
และอย่าลืมติดตามช่องของเราเพื่ออัพเดทข้อมูลที่น่าสนใจ พร้อมเผยสารดีๆ เกี่ยวกับวิธีการเรียน หัวข้อการเรียนที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างความรู้ และมีความก้าวกระโดดในการเรียน การใช้ภาษาอังกฤษกันนะคะ เราเชื่อว่าคุณจะทำได้แน่นอนค่ะ
ไม่พลาดกับบทความนี้:
-
Mik Jakkaphat
เป็นวิธีเรียนที่ยอดเยี่ยมมากกกกก มีทั้งรูปภาพทั้งคำแปล ช่วยดึงดูดความสนใจในการเรียนมาก ๆ ครับ Eng Breaking ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในด้านการพูดและการสื่อสารมาก ๆ ครับ ผมอยากขอบคุณ Eng Breaking มาก ๆ ครับ ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่ lesson ก็เรียนจบแล้วครับ
-
Soda Sodaaa
เรียนง่ายมั้ยคะ? คือเราเป็นคนที่ถอดใจง่ายมาก ๆ ค่ะ
-
RueThaiRut
เรียนง่ายนะคะ มีคำแนะนำในแต่ละขั้นตอนให้ทุกวันค่ะ เนื้อหาก็ตามหัวข้อในแต่ละวันเลยค่ะเราก็เรียนได้ประมาณเดือนครึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราสามารถสื่อสารได้แบบสบาย ๆ แล้ว ไม่ค่อยกลัวภาษาอังกฤษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วล่ะ อิอิ
-
เจมส์ ธีรพงศ์
มีคำแนะนำที่ละเอียดดีมาก ๆ ครับ และผมรู้สึกว่าวิธีสอนดีมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบการเรียนแบบนี้มาก ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนเรียนในห้องเรียนครับ แถมยังเรียนง่ายอีก คอนนี้ผมเริ่มชินกับการเรียนแบบนี้แล้วล่ะครับ
-
Cat Catt
ชุดหนังสือสวยเว่อร์ บวกกับเนื้อหาในหนังสือคือดีและสมจริงมาก ๆ ด้านในมีคำแนะนำครบถ้วน ชัดเจนทุกกระบวนการ ตอนนี้เราเรียนได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒน่การขึ้นเยอะมาก ๆ เลยนะ
-
Meawww Jhaa
เพื่อน ๆ คะ ชุดนี้เนื้อหาทั้งหมด รวม ๆ มีอะไรบ้างคะ?
-
Naphawan MeeJaiii
นี่ค่ะ ประกอบไปด้วยชุดหนังสือ เอกสารออนไลน์ app และยังมีของขวัญให้อีกด้วยค่ะ พูดรวม ๆ ก็คือครบเซ็ทค่ะ ^^!
-
GotCha
ผมซื้อให้น้องผมเรียน ผมรู้สึกได้ว่า ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมากในการเรียนรู้ ก่อนหน้านั้นผมซื้อหนังสือเรียนเล่มที่ใหญ่และหนากว่านี้มาหลายต่อหลายเล่ม แต่มันก็มีข้อจำกัด ในการเรียนคือบางเล่มไม่แนะนำรายละเอียดการเรียนที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นผมเรียนได้ไม่กี่หน้าก็เป็นอันต้องถอดใจไปทุกครั้ง น้องของผมติดตามหลักสูตรนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วและเขาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นอกจากนั้นน้องของผมก็กระตือรือร้นที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพมากครับ!
-
ป๋อง ฤทธิเดช
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งหรือเรียกว่าอ่อนภาษาอังกฆษอย่างผมมาก ๆ ครับ ผมเพิ่งเรียนได้ 1 lesson แต่รู้สึกว่าการฟังและการออกเสียงของผมจะค่อนข้างดีขึ้นเลยทีเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังรู้คำศัพท์และประโยคคำถามเพิ่มอีกด้วย หนังสือเล่มนี้เรียนง่ายมากครับ เพื่อน ๆ ควรลองซื้อมาเรียนดูครับ รับรองว่าเรียนเสร็จเพื่อน ๆ จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องตั้งใจและขยันเรียนด้วยนะครับ
-
ดวงใจ มาเต็ม
เราเรียนก็ค่อนข้างโอเคนะ บางทีอาจจะเหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำ เรียนด้วยความเข้าใจแบบเรา การออกแบบ ดีไซน์ก็ค่อนข้างสะดวกและมีประโยชน์อีกด้วยนะ
-
หนูน้อย หมวกแดง
เราค่อนข้างพอใจกับหนังสือเรียนนะ การห่อ แพ็คเก็จ บรรจุภัณฑ์ก็เรียบร้อยดี ส่งของตรงเวลา คุณภาพหนังสือดี ปกหนังสือมีสีสันสะดุดตา เรียนง่าย เราหวังว่าถ้าเรียนเล่มนี้ไปแล้วมันจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ได้.
Sudarat Manee
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ทีไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่ใช้เรียนเพียงแค่ 3 เดือน หรือได้ผลหลังจากที่เรียนเพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่ยังมี new 12 lessons ที่ต้องเรียนรู้อีกด้วย มีการแจ้งเตือนทาง mail ทุกวัน เราเรียนตามแผนและกระบวนการตามที่ได้รับใน mailนั้น เนื้อหาดี ประโยคมีความทันสมัย มีหลายประโยคที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมใช้สื่อสารกัน ซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี ช่วยให้เราฝึกนิสัยในการวางแผนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แผนการเรียนชัดเจนในทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ มาสร้างนิสัยตามแผนการเรียนกันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะมีวิธีที่ดีแค่ไหนถ้ามัวแต่ขี้เกียจแล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองได้ล่ะคะ .